ท้องฟ้าสีฟ้าถูกฉาบด้วยสีแดงเหมือนดังเลือด ต้นไม้สูงใหญ่นับพันต้นถูกตัดออกเหลือไว้เพียงตอไม้ ผู้คนตกอยู่ภายใต้คำว่า อำนาจ และ เอาชีวิตรอด จึงต้องแตกแยกกันหลายต่อหลายคนยืนขึ้นปักธงแห่งอำนาจเพื่อให้คนที่ต่ำต้อยกว่าตกอยู่ใต้แทบเท้าคนที่ยอมก้มลงเลียขาคนที่มีอำนาจกว่าก็คงไม่พ้นคนที่ทำเพื่อเอาชีวิตรอดแน่ๆ แต่สำหรับใครหลายๆคนคงคิดว่าคำพูดนั้นเป็นฐานะที่ใช้สำหรับพวกผู้ใหญ่วัยหากิน แต่จริงๆแล้วเด็กอย่างเราๆก็คงไม่ต่างกันเพราะการที่ต้องแยกจากคนที่ตนรักด้วยการกระทำที่ไร้ความหมายของพวกผู้ใหญ่ที่มันส่งผลกระทบมายังเด็กอย่างเราที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไร ต้องหนีเอาตัวรอดและพลัดพรากจากคนที่รัก ต้องอยู่เพียงลำพัง ภายใต้กองเพลิงและสงครามที่ยังไม่มีใครรู้ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ เด็กหลายๆคนยอมรับกับสิ่งที่เป็นแต่ก็ไม่คิดจะไปตกอยู่ใต้อำนาจของพวกผู้ใหญ่เป็นแน่และได้ตั้งกลุ่มของตัวเองขึ้นเพื่อสร้างอำนาจให้ผู้ใหญ่เกรงกลัวและก้มลงแทบเท้าและแล้วสงครามก็เริ่มต้นขึ้น.....
“บึ้ม!!!” เสียงระเบิดดังขึ้นกลางโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง ทำให้ครูอาจารย์วิ่งหนีออกจากโรงเรียนอย่างไม่คิดชีวิต
“ว่าแล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง พวกนักเรียนประกาศสงครามกับเราแล้วสินะ” เสียงของชายแก่ร่างอ้วนพูดกับหญิงแก่ผมหน้าม้าพลางยืนมองอาคาร3ชั้นค่อยๆพังจากแรงระเบิดไปต่อหน้าต่อตา
“เราจะทำอย่างไงดีคะท่านรอง เรายังไม่ได้รับกำลังเสริมจากรัฐบาลเลยนะคะ แถมอาวุธที่มีทั้งหมดก็โดนพวกนักเรียนยึดไปแล้วด้วยนะคะ” หญิงแก่พูดเสียงสั่นน้ำตาไหลอาบแก้ม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้หญิงแก่เกิดกลัวอย่างสุดชีวิตจนตัวของเธอสั่นเหมือนกับเจ้าเข้า
“ไม่ต้องกลัวไปหรอกครับ เดี๋ยวไม่นานทุกอย่างก็จะเป็นอย่างที่เราวางแผนไว้” ชายแก่โอบกอดร่างที่สั่นเทานั้นไว้แนบอกเหมือนกับคอยปลอบประโลมไม่ให้อีกฝ่ายหวาดกลัวไปกว่านี้ ไม่นานเสียงของออดเตือนไฟก็ดังขึ้นรอบทิศ ไฟที่เริ่มลามเข้ามาใกล้พวกเขาทุกทีๆครูทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอดไม่สนใจใคร แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว จู่ๆประตูบานใหญ่ของโรงเรียนซึ่งเป็นทางออกทางสุดท้ายถูกปิดลงโดยอัตโนมัติ ควันจากซากปรับหักพังลอยล้อมรอบกลุ่มเหล่าอาจารย์ไว้ทั่วทุกสารทิศ และไม่นานเบื้องหลังของควันก็ปรากฏเป็นกลุ่มเงาของคนจำนวนมากกำลังเดินเข้ามาใกล้จนผ่านควันมา พบเป็นเด็กนักเรียนจำนวนมากที่ยืนถืออาวุธครบมือดูน่าเกรงขามพลางมองเหล่าผู้เคราะห์ร้ายที่ไม่มีทางหนีด้วยสายตาเยาะเย้ยกึ่งเหยียดหยาม
“พวกเธอต้องการอะไรกันแน่ทำไมต้องขังพวกเราไว้ด้วยละ” ครูสาวคนหนึ่งถามขึ้น
“ครูจะอยากรู้ไปทำไมกันละครับ” เด็กชายตัวเล็กตอบแบบกวนๆ
“ก็ปล่อยพวกครูไปซิ” ครูคนเดิมถามอีกครั้ง
“คงไม่ได้หรอกนะครับ....” เด็กชายส่ายหน้าไปมา
“ทำมะ.....”ก่อนที่ครูจะพูดจบเด็กชายคนเดิมก็ยกนิ้วชี้ขึ้นแนบกับปากพลางทำเสียงจุ๊ๆๆๆเหมือนกับไม่ให้พูด ครูจึงไม่กล่าวอะไรอีกเลย ไม่นานนักเด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินแหวกฝูงชนเข้ามายังกึ่งกลางของกลุ่มคนมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเหล่าอาจารย์ด้วยใบหน้าที่แสดงถึงรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ ก่อนจะยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“สวัสดีครับคุณครูทุกท่านกระผมมีชื่อว่า นายธนวิชย์ เป็นนักเรียนชั้นม.6/8 ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาครูแก่ทั้งสองคน
“เธอกำลังจะทำอะไร” ชายแก่เปิดบทสนทนาใหม่กลายเป็นเสียงที่เข้มแข็งไม่สั่นไหวไปตามความกลัวของครูที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้ครูต้องตกใจขนาดนี้ นี้ถือว่าเป็นคำขอโทษของผมละกันนะครับ” เด็กหนุ่มไม่ตอบคำถามของชายแก่แต่กลับยื่นดอกไม้สีม่วงจากในมือยื่นให้สาวแก่ด้วยรอยยิ้ม ครูทั้งหมดต่างมองดอกไม้ที่อยู่ในมือของเด็กหนุ่มเหมือนกับไม่ไว้ใจ แต่สาวแก่ก็ไม่สนสายตาเหล่านั้นกลับหยิบมาดมอย่างสุขใจแล้วค่อยปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มออกเบาๆ
“ขอบใจนะจ้ะ มันสวยมากเลยแถมหอมอีกด้วย” ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นแต่ไม่นานกลับอบอวลไปด้วยด้วยมืดเพียงดวงตาของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป
“ราตรตีสวัสดิ์นะครับ”พูดจบดอกไม้ที่อยู่ในมือก็สลายกลายเป็นเหมือนกับละอองเรณูลอยไปแตะจมูกของครูทุกๆคนเพียงชั่วพริบตาครูทุกคนก็ล้มลงกับพื้นด้วยความมึนเมาและหลับไปเหมือนกับโดนมอมเหล้า
“เอาอย่างไงต่อครับ” เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหลังถามขึ้น
“เอาไปไว้ที่ห้องประชุม แล้วก็มัดไว้ให้เรียบร้อยอย่างให้หนีออกมาได้ แล้วเราจะเรียกรวมพลในเวลา 6 โมงตรง ที่หน้าเสาธง” พูดจบเขาก็เดินจากไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันที่จมหายไปเหมือนกับจะไม่มีวันกลับมาอีกครั้ง