แสบ – ซึม – ป่วน
1. ท่ามกลางแดดอุ่นยามบ่ายของเดือนพฤษภาคม รถบัส 2 คันแล่นตามกันไปบนถนนสุขุมวิท สายบางนา-ตราด ด้วยความเร็วปกติ ในรถทั้ง 2 คัน นั้นมีผู้โดยสารประมาณ 50 คน เป็นชายล้วน และส่วนใหญ่เป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น อายุไม่เกิน 21 ที่กำลังคึกคะนอง เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่ในรถคันเดียวกัน
บรรยากาศในรถบัส 2 คันนี้ ไม่แตกต่างจากบรรยากาศของฉิ่งฉับทัวร์ซึ่งกำลังพานักศึกษาไปทัศนาจรที่เมืองชายทะเลอันรื่นรมย์แต่อย่างใด ทั้งๆที่มันเป็นรถบัสของเอกชนซึ่งกองทัพเรือ เช่ามาเพื่อรับทหารเกณฑ์ผลัดใหม่บางส่วนของทร.จากมณฑลทหารบกกรุงเทพฯ ไปส่งที่ศูนย์ฝึกทหารใหม่ของกรมยุทธศึกษาทหารเรือที่เกล็ดแก้ว ตำบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งถึงก่อนสัตหีบ ประมาณ 10 กิโลเมตร
โชเฟอร์ของรถบัส 2 คันนั้นเป็นพลขับยศจ่าเอก จากกรมขนส่งทหารเรือทั้งคู่ และแต่ละคันมีพันจ่า 1 นาย จ่าเอก 1 นาย เป็นผู้ควบคุมการเดินทางโดยมีพลทหารอีก 1 นายเป็นเด็กท้ายรถ
เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นกำลังคึกครื้นรื่นเริงด้วยฤทธิ์เหล้าที่พวกเขาส่วนใหญ่เฉิ่มกันมาตั้งแต่เช้าขณะรอออกเดินทางในตอนบ่ายโมงตรงที่กรุงเทพฯ บางคนเลี้ยงฉลองกันมาตั้งแต่เมื่อคืนและแอบนำเหล้าในขวดแบนที่เหลือ ขึ้นมาดวดต่อบนรถจนคอพับคออ่อนและหลับไปในที่สุด
แต่หลายคนยังเมาไม่สุด พวกเขากำลังคึกคักได้ที่ บางคนร้องเพลงโปกฮา มีลูกคู่ปรบมือตามและเคาะขวดเหล้าให้จังหวะ โดยที่ทหารคุมรถไม่ได้ว่าอะไรและปล่อยให้พวกเขาสนุกกันเป็นวาระสุดท้ายก่อนเจอความจริงของชีวิตทหารใหม่ที่พวกเขายังไม่เคยสัมผัส
“เต็มที่ไปเลย ไอ้น้อง เดี๋ยวก็รู้ว่าหมู่หรือจ่า” พันจ่าเอกสมปองยิ้มมุมปากขณะคิดอยู่ในใจ
บริเวณท้ายรถกำลังคึกครื้นยิ่งขึ้น หนุ่มผมยาวแบบนักดนตรีร็อคเปิดเหล้าแบนใหม่และยกขึ้นจิบก่อนยื่นไปทางพลทหารในวัยไล่เลี่ยกันซึ่งยืนอยู่บนบันไดท้ายรถ
“พี่ เอาหน่อย” หนุ่มผมยาวพูดแข่งกับเสียงอึกทึก
พลทหารคนนั้นหันมามองหน้าเจ้าของเหล้าและสั่นหัวเงียบๆก่อนหันกลับไปมองนอกรถอย่างเดิม
“ป๊อดนี่หว่า กลัวจ่าแดก รึไง” หนุ่มผมยาวคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันเล็กน้อย แล้วหัวเราะเอิ้กอ้ากขณะส่งขวดเหล้าให้คนข้างๆรับไปจิบ
“เดี๋ยวมึงก็รู้ ว่าจ่าเขาแดกมึงยังไง” พลทหารท้ายรถคิดเงียบๆด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ร็อคเกอร์หนุ่มมองตามขวดเหล้าที่ถูกส่งต่อไปเรื่อยๆคนละจิบในแถวที่นั่งท้ายรถ จนกระทั่งมันเวียนกลับมา และเหลือเหล้าแค่ครึ่งแบน เขาจิบอีกอึก ก่อนสะกิดคนในเบาะข้างหน้าซึ่งผมยาวพอกัน
“เฮ้ย ไอ้น้อง กรึ๊บย้อมใจหน่อย” เขาพูดพร้อมกับยื่นขวดเหล้าไปข้างหน้าจนแทบจะกระแทกจมูกของคนข้างหน้าที่หันมาตามเสียงเรียก
“ใครน้องมึง” ใบหน้าเข้ม หนวดเคราครึ้มของเขาหันมาจ้องหน้าร็อคเกอร์หนุ่มด้วยแววตาแข็งกร้าว
“ก็มึงไง” หนุ่มผมยาวท้ายรถสวนขวับด้วยน้ำเสียงที่พร้อมจะมีเรื่อง
เท่านั้นก็ได้เรื่องจริงๆ หนุ่มหน้าเข้มในเบาะตรงหน้า ปัดขวดเหล้ากระเด็นไปโดนหัวคนข้างๆที่นั่งติดหน้าต่างด้วยมือหนึ่ง และสาวหมัดอีกข้างทิ่มลงบนใบหน้าของร็อคเกอร์หนุ่มอย่างรุนแรงและรัว ตามอีก 2-3 หมัดไปติดๆจนฝ่ายตรงข้ามทรุดลงไปนั่งหมดท่าบนพื้นรถ
หนุ่มหน้าเข้มตวัดขา เฉี่ยวหน้าเด็กหนุ่มหน้าขาวๆ คนที่นั่งข้างๆ เพื่อจะก้าวไปกระทืบซ้ำ ท่ามกลางความชุลมุน และเสียงเอะอะโวยวายที่ท้ายรถ
“พี่ด๊อด ใจเย็น พอเถอะ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่” เด็กหนุ่มหน้าขาวคนข้างๆดึงขอบกางเกงยีนส์ของหนุ่มหน้าเข้มเต็มแรงจนขาที่ก้าวข้ามพนักเบาะเสียหลักและป่ายไปโดนปากของเด็กหนุ่มหน้าจืดที่นั่งอยู่ข้างๆหนุ่มผมยาวหน้าตี๋ เจ้าของเหล้าคนนั้น
“เบียร์อย่าเสือกเรื่องของพี่” ด๊อดหันไปตวาดหนุ่มหน้าขาวซึ่งเป็นลูกผู้น้องของเขาเอง และขยับจะโดดลงไปบนพื้นรถข้างหลังที่โก๋หน้าตี๋นอนแอ้งแม้งอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้ !” เสียงตวาดลั่นรถดังอยู่เบื้องหลังอย่างมีอำนาจ ด๊อดจึงชะงักขา และค่อยๆหันกลับมานั่งดังเดิม เห็นพันจ่าเจ้าของเสียงกัมปนาทยืนเท้าเอว จ้องเขาเขม็งด้วยสีหน้าถมึงทึง
“มีเรื่องอะไรกัน” พันจ่าเอกร่างเตี้ยล่ำ วัย 40 เศษ ถามเสียงกร้าว
“เปล่าครับ” ด๊อดตอบเสียงแผ่ว แล้วก้มหน้าหลบตา
“เปล่าห่าอะไร ก็เห็นชกกันจะๆ”
“มันชกผมข้างเดียวครับจ่า ผมไม่ได้ทำอะไรมันซะหน่อย” ร็อคเกอร์หน้าตี๋ฟ้องเสียงอ่อยขณะคนข้างๆช่วยกันดึงแขนของเขาขึ้นนั่ง
“มึงเงียบปากไปเลย” ด๊อดหันไปตวาดคนข้างหลัง “ไอ้ตี๋”
“มึงเรียกใครไอ้ตี๋” ร็อคเกอร์หนุ่มสวนกลับอีกครั้ง
“ก็มึงไง จะเอาอีกใช่มั้ย” ด๊อดขยับตัวและเงื้อกำปั้น แต่ก็ช้ากว่ามือคีมเหล็กของพันจ่ามะขามข้อเดียวที่กระชากแขนของเขาจนหงายหลัง
“บอกให้หยุดไง เดี๋ยวปั๊ด” พันจ่าเอกคนนั้นเงื้อฝ่ามือหนาๆของเขาทำท่าจะตบ แต่ก็ค่อยๆลดลงมาตามเดิม “เดี่ยวก็จะกินข้าวหม้อเดียวกันแล้ว ยังจะกัดกันอีก จำไว้ว่าตอนนี้พวกเธอเป็นทหารแล้ว ต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด จะมาทำอะไรตามใจตัวเองแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องการทะเลาะวิวาทเนี่ย ห้ามเด็ดขาด คุกสถานเดียว เข้าใจมั้ย”
เขาจ้องหน้าคู่กรณีทีละคนอย่างคาดคั้นคำตอบ
ด๊อดพยักหน้า “เข้าใจครับ” เขาพูดเบาๆ
“เข้าใจครับ”อีกคนพูดตาม
“เข้าใจก็ดีแล้ว นั่งอยู่ในความสงบจนกว่าจะถึงศูนย์ฝึก เหล้าก็เลิกแดกได้แล้ว ทุกคนน่ะแหละ” พันจ่าสำทับเสียงดังก่อนหันหลังเดินกลับไปนั่งในเบาะหน้า เช่นเดิม
“มึงชื่อด๊อดเหรอ” หนุ่มผมยาวหน้าตี๋ชะโงกหน้าไปถามเบาๆจากเบาะหลัง
“ถามทำไม จะเอาอีกดอกรึไง” ด๊อดหันไปพูดเสียงเข้ม
“เปล่าๆ ถามหน่อยก็ไม่ได้ ทำไมถึงดุนักวะ”
“เรื่องของกู แล้วมึงล่ะ ชื่ออะไร”
“ก๊อง”
“ก๊อง!” ด๊อดหัวเราะก้าก “คนเหี้ยอะไรวะ ชื่อตลกฉิบหาย เป็นมนุษย์หินรึไง”
เด็กหนุ่มรอบข้างหัวเราะตาม จนคนด้านหน้าเหลียวมามอง รวมทั้งพันจ่ามะขามเตี้ยคนนั้นด้วย ทุกคนจึงหุบปากและนั่งอย่างสงบไปตลอดทาง
รถบัสทั้งสอง แล่นตามกันไปบนถนนบายพาสเลี่ยงเมืองชลบุรีเลยแหลมฉบังไปเล็กน้อย ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอันน่าตื่นเต้นขึ้นมาอีก
มีเสียงดังบึ้มบริเวณท้ายรถคันหน้าที่ด๊อดและคนอื่นๆ นั่งอยู่ รถคันนั้นส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อย เสียงคนหลังรถตะโกนร้องอย่างขวัญเสีย
“โดนระเบิดอาร์พีจีเข้าแล้ว” เป็นเสียงของร็อคเกอร์หน้าตี๋ที่ชื่อก๊องนั่นเอง
“อาร์พีจีพ่อมึงสิ รถยางแตกโว้ย” ด๊อดเหลียวไปตะคอก
จ่าพลขับ ถอนคันเร่ง ลดความเร็วลงทันทีและประคองรถเข้าจอดบนไหล่ทาง ขณะรถบัสคันหลังตามมาจอดต่อท้าย พลขับซึ่งเป็นจ่าเหมือนกัน รีบเปิดประตูข้างๆตัว โดดลงมาและวิ่งเหยาะๆมาที่รถคันหน้า
“เป็นอะไรมากมั้ยพี่ย้อย” เขาถามพลขับของรถคันหน้า
“ก็เห็นอยู่ว่ายางแตก เอ็งขับล่วงหน้าไปก่อน แล้วตามช่างที่ศูนย์ฝึกมาเปลี่ยนยางให้คันนี้ด้วย แม่งไม่มียางอะไหล่ว่ะ กูเสียวๆตั้งแต่ตอนรับรถแล้ว เช่ามาได้ไงก็ไม่รู้”
“คันของผมก็ไม่มี เซ็งชิบ” พลขับคนนั้นก้าวยาวๆกลับไปที่รถของเขาและขับเฉียงออกไปบนถนนอย่างรวดเร็ว “รอแป๊บนึงนะพี่ย้อย” เขาตะโกนบอกขณะผ่านรถยางแตกไปพวกเด็กหนุ่มในรถคันนั้นโบกมือหวอยๆ คนหนึ่งตะโกนมาดังๆ
“กินข้าวลิงให้อร่อยนะเพื่อน พวกกูไปก่อนละ”
“ดีใจไปเถอะ ถึงก่อนก็เหนื่อยก่อนละมึง” ด๊อดพึมพำเบาๆ
ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 4 โมงเศษ ถนนบายพาสช่วงนั้นไม่มีร้านค้าอยู่ในสายตาเลย
“คงต้องรอเป็นชั่วโมง กว่าจะเปลี่ยนยางเสร็จ” พันจ่าผู้คุมรถพูดกับพลขับ
“ผมว่า คงหลายชั่วโมงแหละ จะหายางอะไหล่ได้รึเปล่าก็ไม่รู้ กว่าจะถึงศูนย์ฝึก ทหารใหม่คงหิวกันแย่” พลขับพูด
“รวมทั้งเราด้วย” พันจ่าเอกสมปองพูด “ไม่ได้เรื่องแล้วว่ะ เราขอรถบัสจากศูนย์ฝึกมาขนถ่ายดีกว่า”
เขาดึงวิทยุมือถือที่เหน็บไว้ตรงขอบกางเกง และกดคีย์ติดต่อไปยังศูนย์ฝึกทหารใหม่ที่เกล็ดแก้ว ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร ทันที
................................................................................................................................................