เรื่องสั้น : รอ
ผมยังจำวันนั้นได้ดี มันน่าเบื่อชะมัด ผมเดินเตร่ไปทั่วสะพานลอยกลางเมือง มองผู้คนพลุกพล่านท่ามกลางแดดแผดเผาสุดท้ายของยามเย็น มีแต่คนสภาพเหน็ดเหนื่อยกับการงานเต็มทน เหงื่อไหลไคลย้อยไปหมด แววตาพวกเขาดูเศร้า หรือผมมองทุกอย่างเป็นสีเทาไปเอง...
แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง แกร๊ง
กระป๋องน้ำอัดลมบุบ ๆ ถูกเตะไปปะทะกับบางสิ่ง ก่อนผมจะสบตากับชายผมเทา แต่งตัวมอซอคนหนึ่ง
"อุ๊ย! โทษครับลุง"
"ขอ...ได้มั้ย" ผมเก็บกระป๋องขึ้นมายังไม่ทันก้าวจาก ยื่นให้ลุงแบบงง ๆ ชายชราวัยประมาณ ๖๕-๗๐ หย่อนมันลงในถุงที่มีห่อการบูรรูปทรงสัตว์ต่าง ๆ แล้วเดินไปสมทบกับหญิงชราคนหนึ่งวัยเดียวกันลงสะพานลอยไป
เที่ยงวันถัดมาผมยืนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม เอกสารที่บัญชามาจากเจ้านายยังวนเวียนในหัว วันนี้ต้องปิดจ๊อบลูกค้าต่างชาติให้ได้ คิดเพลินจนมือถือดังให้รับสายเป็นเบอร์ที่คุ้นเคย
"ครับ...ไปไม่ได้...เลิกดึกนะ...ครับ" บทสนทนาจบลงไม่เกินหนึ่งนาที ใกล้หมดเวลาพักเที่ยง ลูกจ้างแบบผมต้องรีบข้ามสะพานลอยไปตุนอาหารอยู่ล่วงเวลางาน สองสามีภรรยาที่เจอเมื่อวานปูเสื่อขายการบูร หน้าร้านข้าวแกงก่อนถึงร้านสะดวกซื้อ
"ลุงเมื่อวานนี่ครับ จำผมได้มั้ย คงจำไม่ได้หรอก"
“อืม อืม" ลุงผงกหัวยิ้มฟันหลอ
"ดูก่อนมั้ยจ๊ะ การบูรดับเหม็น" คุณป้าเชิญชวน บรรยายสินค้าจบลงที่ผมมีการบูร ช้าง กระต่ายนอนกลิ้งหน้ารถสองตัว
๑ เดือนถัดมา ที่ว่างแถวร้านอาหารตรงนั้น จะมีสาว ๆ เวียนมาอุดหนุนคู่รักทรหดบ้างประปรายในตอนเที่ยง วันนี้มีพวงกุญแจ กับของประดับบ้านจุ๋มจิ๋มเรียงเต็มเสื่อ ฝนที่ทำท่าเทลงมาทุกเมื่อ ทำให้ผมอุดหนุนพวงกุญแจอีกสามชิ้น
"ฝนจะลงเม็ดแล้วนะครับ เก็บก่อนมั้ยผมช่วย"
"ใกล้ตกเดี๋ยวป้าพาลุงนั่งรถเมล์ไปซอยสอง"
"พักอยู่นั่นเหรอครับ"
"ไปขายต่อ"
"โหขยันขนาดนี้มีคนช่วยที่บ้านมั้ยป้า"
"มีกันสองคนกะไอแก่" ผมไม่กล้าถามถึงลูกหลานแก วันนี้ลุงสวมหมวกไหมพรมสีน้ำตาล ที่คราวก่อนแกบอกรักนักหนา เมียแกถักให้ ลุงเป็นคนไม่ค่อยพูด หรืออยากพูดแต่ไม่เคยทันป้าก็อาจใช่ นิสัยผมก็แบบนี้ล่ะครับ ชอบเมาท์ชอบคุย แม้ค้าแถวนี้รู้จักหมด
เย็นวันหนึ่งมีข้อความส่งมา "สวัสดีวันศุกร์" ตามมาด้วยภาพ "กินข้าวหรือยัง" พร้อมคลิปวิดีโอตลกที่ผมมองว่านี่ตลกแล้วหรืออีกสองสามคลิป สติ๊กเกอร์อมยิ้มถูกตอบกลับไป แล้วอีกสองสามวันก็เป็นเช่นเดิม บางช่วงหายไปเป็นอาทิตย์ มีวันหนึ่งผมยืนรอสั่งข้าวเที่ยง เห็นลุงกับป้าไม่มาขายของ ถามเฮียร้านราดหน้าบอกพักนี้ป้าป่วย ไอบ่อย คงขายไม่ไหว เฮียยังเสริมอีกว่าลูกไม่มี เพราะตอนหนุ่มลุงเล่นตระเวนทำงานทุกจังหวัด ป้าก็ย้ายถิ่นตามไปเรื่อยจนแท้งลูก จากนั้นไม่คิดมีห่วงอีก อยู่กันสองคนสบายใจดี ผมฟังแล้วมันเหงา ๆ ไงไม่รู้ ไม่รู้สิถ้าตอนนี้ไม่รีบจีบใคร มีลูกสัก ๒-๓ คน แก่ไปผมจะเหงาหรือเปล่า
สิ้นเดือนแล้วคอนโดเช่าผมเละเป็นจุณ เมื่อคืนฉลองปิดโปรเจกต์กับชาวแก๊งหนักไปหน่อย โอยตายล่ะสองสายไม่ได้รับโทรศัพท์ตอนสามทุ่ม ต้องรีบไปทำงานไว้ค่อยโทรกลับตอนว่างแล้วกัน วันนี้ยืนสูบบุหรี่บนสะพานลอยเห็นร้านรวงปิดบ้างเปิดบ้าง ลุงป้าที่ผมตั้งฉายาเองว่าคู่รักทรหดกำลังผลัดกันป้อนข้าว เช็ดเหงื่อ ป้าเจ้าของร้านข้าวแกงยื่นน้ำขวดให้ ชายชรายกมือไหว้ปลก ๆ กางเกงผมสั่นในนั้นมีมือถือแสดงชื่อคนที่ชอบโทรมาตอนพักเที่ยง
"สวัสดีครับ...ขอโทษครับลืมโทรกลับ...กินได้หมด ปลาส้มก็ได้...ลำไยไม่ต้องที่นี่มี หาซื้อกินได้...ถ้าคิดว่าถือไหวก็กิน..." คนปลายสายยิงคำถามให้ผมตอบแทบไม่หยุดตลอดเจ็ดนาที บางเรื่องก็วกขึ้นมาถามใหม่ บ่ายนี้ไม่มีงานเร่งให้รีบส่ง จึงฟังคนโทรมาคุย มองบรรยากาศรอบตึกออฟฟิศอย่างสบายอารมณ์
ใกล้เดือนส่งท้ายปี มีโต๊ะตั้งขายกระทงนานาชนิด เพื่อนผมจองใบสวย ๆ ไว้ก่อนแม่ค้าจะตั้งขายเสียอีก ลุงป้าคู่รักก็ไม่ตกเทรนด์กับเขา เสริมกระทงขายเคียงกับของเดิม ผมอยากซื้อร้านนี้ ไม่ใช่เพราะสวยกว่าร้านไหน ร้านอื่นมีสาวรุ่นอายุน้อยคอยเชียร์ขาย แต่ลุงกับป้าใส่เสื้อลายดอกมาแบบไทย ๆ วันนี้ป้าสวมผ้าถุงงามสะอาดกว่าวันไหน ผมเลือกกระทงจากใบตองสีสด ยื่นเงินให้ไม่ต้องทอนเป็นค่าเล่านิทานของป้า ยามผมรอข้าวกลางวัน มักมีวีรกรรมสนุก ๆ ของคนรุ่นก่อน พรั่งพรูจนเห็นภาพเสมือนผมเกิดวัยเดียวกับทั้งสอง เพื่อน ๆ ผมได้อานิสงส์รับฟังฮาเฮไปด้วย คุณป้าร่างเล็กหัวใจไม่เล็กคนนี้ เธอคุยเก่งจริง ๆ
"มะรืนนี้หยุดนะพ่อเอ๊ย"
"พักเหนื่อยเหรอป้า"
"ไปหาหมอ" ลุงตอบแทนเสียงแหบพร่า
"อ้าวลุงป่วยแบบนี้ป้าต้องหยุดขายของ?"
"ป้าเอง ๆ ปวดท้อง เจ็บคอ เจ็บหลัง คนแก่นะโรคสารพัด ไปให้หมอมีงานทำ ฮ่า ๆ" หญิงชราขำติดตลก
"ไปลอยกับหญิงที่ไหน" ป้าถาม
"ลอยที่...คนเดียวครับ โถผมไม่มีแฟน อย่างมากก็ไปเป็นกอขอคอเพื่อนกับแฟนมัน"
"ทำไมต้องไปกับแฟนคนเดียวเล่า หญิงที่บ้านไปด้วยไม่ได้รึไง"
"หญิงไหนอ่ะป้า"
"ก็แม่เราไง"
"แม่"
"คนเรานะงานบุญ งานวัด เข้าพรรษากินเจเอย วันหยุดไรก็แล้วแต่ อย่ามัวแต่ควงสาวเที่ยวจนลืมคนในบ้าน พ่อแม่พี่น้องนี่ต้องมาก่อน"
ลุงที่ฟังเงียบ ๆ อยู่นานสำทับบ้าง
"รักป้าตรงนี้ ป้ารักพ่อแม่"
"จะบอกว่าตอนหนุ่มตกหลุมรักป้า เพราะป้ารักพ่อแม่ใช่มั้ยลุง"
"เพราะไม่เคยไปเที่ยวกันสองคน อยู่ในสายตาผู้ใหญ่ตลอด คิดถึงต้องมากินข้าวกับแม่เขาถึงให้เจอ เมื่อก่อนนึกว่าบ้านดุ แต่ไม่ใช่ป้าแกห่วงแม่"
หญิงชราที่มีรอยยิ้มมุมปากเสมอเริ่มน้ำตารื้น เอ่ยเสียงเบากว่าปกติว่าเพราะเธอเสียผู้เป็นพ่อไปด้วยอุบัติเหตุก่อนเจอลุงหลายปี เห็นคนเป็นแม่ทำงานหนักชนิดที่หน้าแทบไม่เจอ เพราะส่งเธอเรียนหนังสือ ทำให้เรียนรู้ว่าชีวิตนี้มักเกิดเหตุไม่คาดฝันเสมอ ผมเห็นว่าบทสนทนาชักเครียดจึงขอตัว ก่อนกลับบ้านเย็นวันนั้นทั้งสองยังบอกผมว่ามีอะไรอยากทำให้รีบทำ บางทีทำอะไรไม่ต้องรอให้เวลามาหาหรอก เราต้องเดินไปหามันเอง คนโชคดีที่แข่งกับเวลาได้ดีก็ดีไป แต่คนเป็นล้านไม่ใช่จะมีโชคกันหมด ผมว่าเออมันก็จริง
ออฟฟิศผมเริ่มประดับต้นคริสต์มาสพุ่มใหญ่ มีคนเขียนการ์ดขอพรไปติดตามกิ่งก้าน ผมหวังว่าเจ้านายที่รักจะเดินมาอ่าน และประทานของขวัญดังคำขอให้ผมบ้าง โบนัสก้อนโตกว่าปีก่อนไงล่ะ เครื่องสื่อสารผมแจ้งเตือนสุขสันต์วันคริสต์มาส และสวัสดีปีใหม่จากทั่วสารทิศ รูปภาพและคำอวยพรต่างส่งมาทั้งคนรู้จักและไม่รู้จักกันในชีวิตจริง ชีวิตเดิม ๆ ในตอนพักเที่ยงบนเส้นสะพานทอดยาวสู่ร้านอาหาร เสียงดังจอแจคือเรื่องราวที่ระบายจากสังคมพนักงานเงินเดือน บัดนี้เริ่มเบาบางเนื่องด้วยมีร้านบางส่วนปิดบริการ และผู้บริโภคเดินทางออกสู่บ้านเกิดกัน ร้านขายของปูเสื่อเล็ก ๆ หน้าร้านอาหารที่ผมฝากท้องเป็นประจำปิดไปหลายวัน จนชายชรากลับมาเปิดร้านวันใกล้สิ้นปี ๒๙ ธันวาคม มือเหี่ยว ๆ กร้านแดดบรรจงจัดเรียงของช้า ๆ หมวกสีน้ำตาลคุ้นตาที่คนรักถักให้ถูกสวมเช่นเคย เพียงแต่วันนี้เขามาขายของคนเดียว ผมเข้าไปทักตามปกติ ลุงยิ้มนิด ๆ แล้วหันมองเหมือนรอผมพูดอะไรต่อ
"กินข้าวยังลุง ป้าไม่มาเหรอครับ"
"อืม...มา"
ผมชี้ไปทางร้านสะดวกซื้อเชิงถามว่าอยู่ข้างในนั้นหรือ ลุงยิ้มให้ผมอีกครั้ง เป็นรอยยิ้มที่หวานจับใจ แล้วบอกว่าอยู่นี่ มือเหี่ยวตามวัยนั้นสัมผัสกระเป๋าสะพายใบย่อมอย่างอ่อนโอน ลุงเปิดซิปให้ผมดู ภายในเป็นถุงผ้าสีแดง ผมจำได้ว่าถุงผ้านี้เป็นที่ใส่เศษสตางค์ของหญิงชราคู่ใจลุง ภายในบรรจุขวดใบเล็กมีผงสีขาวเป็นเถ้า...เถ้า...กระดูก ใช่อย่างที่ผมคิดไหมไม่กล้าเอ่ย คิ้วขมวดปมเพ่งมองถุงผ้านั้น มองเสื้อผ้าสีดำที่ลุงใส่ พื้นที่ตรงนั้นมันดูเหงาจับใจเหลือทน "จะทำอะไรให้รีบทำแข่งกับเวลา เราไม่รู้ว่าความโชคดีมีไว้เพื่อเราถึงเมื่อไร" คำของหญิงชราผู้มีแต่รอยยิ้มและเรื่องสนุก สะท้อนมาจากนัยน์ตาของคนที่เธอรักและรักเธอ แม้ว่าชายคนนี้บอกผมว่าเขาเสียดายที่บอกรักเธอน้อยเกินไป ควรกอดเธอเมื่อมีแรงด่าให้มากกว่านี้ ผมฉุกคิดว่าลุงทำเต็มที่ในแบบของเขาแล้วตัวผมล่ะ
๓๐ ธันวาคม ผมมาสะพานลอยแห่งนี้แต่เช้า เพื่อมารับลุงไปทำบุญให้ป้าในวัดใกล้ ๆ ตามที่นัดกัน ผมแยกจากลุงตรงศาลาท่าน้ำ วันนี้ผมมีจุดหมายได้หยุดช่วงปีใหม่หนึ่งอาทิตย์ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี ผมรับด้วยใจกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ
"สวัสดีครับแม่...กำลังเดินทางครับไหว้พระเพิ่งเสร็จ...นอนรอเลยนะนอนเยอะ ๆ กลับบ้านจะไปปีนสวนให้...จ้าจะขับดี ๆ จ้า...เออแม่...คิดถึง...รักแม่นะ"
ฝีเท้าเร่งถึงรถยนต์แล้ว ผมต้องใช้สติในการพาตัวเองไปพบหัวใจผม เพราะตอนนี้มันบินลิ่วไปนอนหนุนตักแม่ที่บ้านแล้วล่ะ ถึงผมจะไม่ได้ลอยกระทงกับผู้หญิงคนนี้มาหลายปี แต่ปีใหม่นี้ผมจะเก็บลำไยให้เธอกินจนเบื่อไปเลย
วัณย์รัศมิ์