ผีเจ้าห้วย
......................................................................................................................................................
พันธุ์ สังข์หยด
ลุงไข่ฉิมเพิ่งล้มตัวลงนอน ตอนที่ได้ยินเสียงร้องครางดังมาจากมุ้งข้าง ๆ ที่น้องชายของแกนอนอยู่ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด หลังจากล้อมวงกินข้าวมื้อเย็นกัน น้าหมายก็ขอตัวแยกเข้ามุ้งไปนอนขณะพี่สะใภ้กับหลาน ๆ นั่งรอดูละครกันอยู่ ชีวิตชาวสวนยางต้องลุกขึ้นมากรีดยางตั้งแต่หลังเที่ยงคืน ต้องรีบเข้านอนเอาแรงแต่หัวค่ำ น้าหมายยังไม่แต่งงานอาศัยอยู่กับลุงไข่ฉิมพี่ชาย ก็ช่วยพี่ชายกรีดยางที่มีเยอะสามสิบกว่าไร่ วันนี้ก็ไปอยู่สวนยางมาทั้งวัน ด้วยสวนยางลึกเข้าไปในป่า ต้องมีคนคอยถากถางต้นไม้เถาวัลย์เพื่อให้เตียนโล่ง เดินกรีดยางสะดวกในเวลากลางคืน เกิดงูเงี้ยวเขี้ยวขอมาจู่โจมจะได้เห็นก่อนระวังตัวได้ทัน ในสวนยางมักจะมีงูปล้องทองตัวเหลืองสลับดำอาศัยอยู่มาก ไอ้ตัวนั้นมันชอบไล่ตามแสงตะเกียงกรีดยางในเวลากลางคืน กลางวันมันจะนอนเงียบตามัวมองไม่เห็นแต่กลางคืนแล้วมันจะตื่นตัว หากโดนมันกัด ก็ป่วยทำงานไม่ได้ไปอีกหลายวัน ชาวสวนต้องพยายามให้สวนยางของตนเตียนโล่งอยู่เสมอ หากสวนยางรกมาก ๆ บางคราวไอ้บองหลา(จงอาง)ก็แวะมาเยือนโดยไม่ตั้งใจ และแม้สวนยางจะเตียนโล่งน่าเดิน กระนั้นเวลากรีดยางก็ต้องระวังงูกะปะ เพราะมันชอบนอนในที่เตียนโล่งใกล้โคนต้นยาง หากโดนงูกะปะกัดน่องจะปวดมาก พิษงูจะทำให้เท้าเปื่อยเป็นแผล บางคนเดินไม่ได้ไปเป็นเดือน ๆเลย
สวนยางสิบห้าไร่ติดกับลำห้วยเป็นของน้าหมาย พ่อของแกแบ่งให้สองพี่น้องไว้ทำมาหากินก่อนจากไปด้วยโรคไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ชาวสวนสมัยก่อนหนีไม่พ้นโรคนี้ สมัยบุกเบิกป่ามาปลูกสร้างบ้านเรือน ต้องตัดไม้ เผาไร่ทำสวนยาง คนเฒ่าคนแก่ก็สอนกันมาว่าให้บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทางเขาให้เรียบร้อยก่อน จะได้ไม่เกิดโกรธเคืองผิดใจกัน จะได้รู้จักคุ้นเคยกัน จะได้ทำมาหากินคล่อง ๆ คนสมัยก่อนเวลาต้องการทำอะไรให้สำเร็จ ก็มักบนบานบอกเจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าควน เจ้าห้วยกันอยู่เสมอ ผมยังเคยแอบไปชิมเหล้าที่เขาเอามาถวายเจ้าควน หลังธูปหมดดอกเหล้ามันกลายเป็นน้ำจืดสนิทไปไม่เห็นเมาสักนิด หรือว่าเจ้าควนเมาแทนไปแล้วก็ไม่รู้ได้
น้าหมายไปเรียนอยู่กรุงเทพเสียหลายปีตั้งแต่ตอนยังหนุ่ม จบปริญญาตรีมาจากรามคำแหง ทำงานต่อในกรุงเทพอยู่นาน จนเบื่อกรุงเทพจึงกลับบ้านมาช่วยพี่ชายกรีดยาง เจ้าของสวนกรีดยางของตัวเอง ๑๕ ไร่ รายได้ดีกว่าทนทำงานกินเงินเดือนอยู่กรุงเทพ น้าหมายจึงกลับมาอยู่บ้านถาวร ปกติแกก็เป็นคนไม่เชื่อเรื่องผีสางอยู่แล้ว
“คนกลัวผีจะออกจากบ้านไปกรีดยางดึก ๆ ในสวนลึกได้อย่างไร เป็นได้นอนอยู่บ้านสว่างคาตาไปเท่านั้น” แกว่า แกเป็นคนหัวสมัยใหม่ ชอบแต่งตัวเหมือนนักร้องเพลงเพื่อชีวิต ไว้ผมยาวเหมือนพวกศิลปิน ขี่มอเตอร์ไซค์ช็อปเปอร์ ฟังเพลงเพื่อชีวิต วงคาราบาวนี่แกมีอัลบัมครบทุกชุด ถึงขนาดไปขอซื้อเอาเขาควายมาประดับบ้านมีโปสเตอร์คอนเสิร์ตวงคาราบาวใส่กรอบติดข้างฝาด้วย แม้จะเป็นคนทำอาชีพกรีดยาง แต่น้าหมายก็เป็นคนมีสไตล์ถูกใจเด็ก ๆอย่างพวกเรามาก
คืนนั้นเป็นคืนเดือนมืด เสียงร้องครางของน้าหมายทำให้พี่ชายผิดสังเกต
“ไอ้หมาย มึงเป็นอะไร ร้องครางเสียงแปลก ๆ หมาย... ตื่นเว้ย.. หมาย... ตื่น” พี่ชายร้องเรียก น้าหมายไม่ตอบ จนพี่ชายลุกมาเปิดไฟส่องดูน้องชาย ตลบมุ้งขึ้นดู น้าหมายเหมือนคนฝันร้ายร้องเอะอะโวยวายอยู่คนเดียวตาปิดสนิท
“โอ๊ย ปวดเว้ย ปวดหัว เอามันออกไปที ปวดหัว” ลุงไข่ฉิมรีบปลุกน้องชาย แต่ไม่รู้สึกตัวร้องอยู่อย่างเดียวว่าปวดหัว หากไม่รู้สึกตัวแบบนี้ พี่ชายก็ผิดสังเกตตอนนั้นเองที่ลุงไข่ฉิมให้ลูกชายมาตามลุงของผมไปขับรถให้
สมัยก่อนนั้นหมู่บ้านเราอยู่ห่างไกลเมืองเกือบ20 กิโลเมตรมีรถกะบะเก่า ๆขับกันอยู่ไม่กี่บ้าน ที่เหลือก็ใช้มอเตอร์ไซค์หรือไม่ก็รถประจำทางเอา พอมีเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องส่งคนไปตามบ้านที่มีรถยนต์มาช่วยเหลือกัน ผมยังไม่นอนเพราะเพิ่งทุ่งครึ่ง กำลังรอดูละครดาวพระศุกร์อยู่ เห็นลุงสตาร์ทเครื่องรถยนต์ สนใจอยากรู้ จึงแอบกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะ ขอติดรถไปด้วย ตอนไปถึงบ้านลุงไข่ฉิมน้าหมายยังร้องเอะอะโวยวายไม่รู้สึกตัว เพื่อนบ้านต้องช่วยกันห่มผ้าหามใส่ท้ายรถ พอออกจากบ้านมาขึ้นรถได้แกก็รู้สึกตัว
“พี่ไข่ ผมปวดหัว เหมือนมีตัวอะไรมาวิ่งในหัวผม ช่วยผมที” ลุงไข่นึกได้ รีบหยิบยาแก้ปวดพาราเซตามอลออกมาส่งให้สองเม็ดพร้อมน้ำดื่ม
“มึงกินยาแก้ปวดก่อน เดี๋ยวกูพาไปโรงพยาบาล” น้าหมายกินยาไปสองเม็ดดื่มน้ำหมดแก้วแล้วนอน มีเพื่อนบ้านหลายคน มาช่วย แม้ลุงจ้องพรานล่าแลนอายุจะเจ็ดสิบแล้วก็กระโดดขึ้นรถว่องไวติดไปช่วยกันด้วย น้าหมายยังร้องครวญคราง ว่าปวดหัว ยาแก้ปวดไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ดีหน่อยที่แกเริ่มมีสติ แกบอกว่าคราวนี้เหมือนมีคนมาบีบหัว ปวดอึดอัดเหมือนจะระเบิด ลุงไข่ฉิมบอกให้ลุงรีบออกรถ ผมเห็นลุงเขียวยกมือไหว้นึกถึงหลวงปู่ทวดที่วางติดอยู่หน้ารถตามความเคยชินของแก แล้วออกรถกระบะอีซูซุคันเก่า พุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลในตัวจังหวัด
พอรถวิ่งไปตามถนนลูกรังได้ไม่นาน คราวนี้น้าหมายเกิดอาการดิ้นรนทุรนทุรายอีก แกปวดหัว เหมือนไม่เป็นตัวของตัวเอง
“โอย ปวด ปวดโว้ย” แกพยายามจะกระโดดลงจากรถที่กำลังวิ่งแปดสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง คนอื่น ๆต้องช่วยกันจับกดไว้ คนข้างหลังเคาะสัญญาณให้รถหยุด เพราะน้าหมายเกือบจะกระโดดลงจากรถสำเร็จ ลุงไข่ฉิมลงจากรถ ให้ลุงเขียวขับคนเดียวแกมาช่วยจับยึดน้องชายมิให้ตกจากรถ น้าหมายดิ้น ชักกระตุกน้ำลายฟูมปาก ตาขวางไม่ได้สติ ผมนั่งกอดอกตัวเย็นเยือก หนาวลมกลางคืนที่พัดผ่านขณะรถพุ่งไป แต่ในใจอยากรู้เรื่องมากกว่า....น้าหมายแกเป็นอะไรกันแน่
“กูว่ามันแปลก ๆ ไอ้หมายไม่เคยเป็นแบบนี้ กูว่าก่อนไปโรงพยาบาลแวะบ้านหมอน้อยก่อนดีกว่า” ลุงไข่ฉิมเคาะเรียกให้ลุงหยุดรถ แล้วเข้าไปนั่งข้างคนขับ
“ลองไปบ้านหมอน้อยก่อน” ลุงไข่ฉิมบอก ลุงเปลี่ยนเส้นทาง เลี้ยวซ้ายออกจากถนนทางหลวงที่ตรงแยกถนนดินเล็ก ๆ ตอนที่รถออกจากถนนใหญ่นั่นเอง น้าหมายเหมือนรู้สึกตัว แกพยายามกระโดดลงจากรถอีก
“กูไม่ไป กูไม่ไป กูจะกลับบ้าน กูจะกลับบ้าน กูป่สวนยางรกทวดหัวโอ๊ย” ลุงจ้องอายุเกือบเจ็ดสิบปีรีบคว้าตัวน้าหมายไว้มั่นแล้วกดให้นอนนิ่ง ๆ แกไวมาก ไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนทั้ง ๆ ตัวแกก็ออกจากผอมแห้งปานนั้น
รถแล่นเข้าไปในถนนลูกรังดินแดง มีฝุ่นคลุ้งตามหลัง ตลอดเส้นทางมีแต่ป่ายางแก่ต้นไม้ขึ้นรกทึบ สองข้างทางมืดและวังเวง บ้านเรือนแถวนั้นปิดไฟเงียบไปหมดแล้ว ห้านาทีต่อมา รถกะบะ พุ่งเข้าไปจอดสนิทที่ลานบ้านหลังหนึ่ง เป็นบ้านไม้เรือนไทยยกพื้นสูง อยู่ในสวนเงาะ มีบริเวณบ้านกว้างขวางรอบ ๆนั้นมีแต่สวนเงาะกับป่ายางรกทึบ หมาหลายตัวนอนนิ่งอยู่ใต้ถุนไม่เห่า ไฟในบ้านเปิดสว่างโร่ เหมือนจะรับรู้การมาของผู้มาเยือนยามรัตติกาล ในบ้านหลังนั้นมีหญิงวัยกลางคนตัดผมสั้น ศรีษะโพกผ้าแดงนุ่งโจงกระเบนเหมือนกุมารทอง ยืนรออยู่ที่บันได
“มามา พาขึ้นมา ไอ้ไข่ ขอบใจที่นึกถึงกู” เสียงป้าวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนคนหลงยุคพูดขึ้น ลุงไข่ลงจากรถ คนอื่น ๆ ช่วยพยุงน้าหมาย ซึ่งต้อนนี้ออกอาการอีกแล้ว
“กูไม่ไป โอ็ย ก็ปวดหัว กูอยากกลับบ้านกู กูไม่ไป ไม่ขึ้นไป” แกร้องบอก น้าหมายสะบัดสู้แรงคนถึงสี่คนจนหลุดและออกวิ่ง คนอื่น ๆต้องรีบช่วยกันวิ่งไล่ตะครุบตัวไว้ มิให้แกวิ่งหนีไป เดี๋ยวจะเตลิดวิ่งหายไปซะจนหาไม่เจอ รอบ ๆก็มีแต่ป่ารกกับความมืด น้าไทกระโดดขี่คอน้าหมาย ลุงจ้องรีบคว้าแขนไว้ยื้อดึงกันอุตลุต ในที่สุดก็จับแกเอาไว้ได้
“โอ๊ยกูปวดหัว อยากกลับบ้าน” แม้น้าหมายจะโวยวาย แต่ลุงไข่ฉิมไม่พูด ไม่สนใจ รีบลากร่างน้องชายขึ้นไปบนบ้าน
ที่หน้าหิ้งพระนั้นมีสายสิญจน์ห้อยคล้องไว้ระโยงระยาง มีหัวกะโหลกผี มีขันน้ำมนต์ มีพระพุทธรูป มีหัวฤาษี และอื่น ๆ อีกจิปาถะ หมอน้อยที่ลุงไข่ฉิมว่าที่แท้แล้วเป็นหมอผี เป็นร่างทรง ผมเพิ่งเห็นว่า ป้าวัยกลางคนโพกผ้าแดงบนหัวคนนั้นนั่งนิ่ง ครู่ต่อมาแกก็ตัวสั่นแล้วก็พูดเสียงเด็กออกมา
“กูรู้ว่ามึงมาทำไม”
“ช่วยมันด้วยเถอะท่าน”ลุงไข่ฉิมว่า ผมเห็นแม่หมอสาดน้ำมนต์ไปที่น้าหมาย เท่านั้นแหละแกสงบลง แต่เสียงยังอ่อย ๆ อยู่ว่า
“กูปวดหัว กูปวดหัว”
“ก็แล้วแต่มัน มึงก็รู้ว่ามันไม่เชื่อ”แม่หมอพูด
“แล้วมันเรื่องอะไรละหมอ ผมจะได้ช่วยมัน” ลุงไข่ฉิมเป็นห่วงน้องชาย
แม่หมอน้อยไม่ตอบ ยกขันน้ำมนต์ขึ้นอธิษฐานงึมงำอะไรของแกไป ผมก็นั่งจ้องดูพิธีกรรมของหมอผี ครั้งแรกในชีวิตที่เคยรู้ว่ามีคนทำแบบหมอผีในหนังที่เคยดู หมอผีมีจริง ๆ ด้วยต่อมาแกก็ลืมตาแล้วบอก
“มึงถามมันเองละกัน” ว่าแล้วก็ยื่นขันน้ำมนต์ให้ ลุงไข่ฉิมยื่นส่งต่อไปให้น้าไทที่ช่วยจับน้าหมายเอาไว้ให้นั่งนิ่ง ๆ
“เอ้ากินน้ำมนต์เดี๋ยวจะได้ดีขึ้น” น้าไทส่งขันน้ำมนต์ไปใกล้ปาก ตอนแรกน้าหมายไม่ยอมกิน แต่ก็ถูกง้างปากกรอกน้ำมนต์เข้าไป ตอนนั้นเองที่ ผมเห็นเงาดำ ๆ เงาหนึ่งลอยขึ้นมาจากหัวของน้าหมาย ผมไม่รู้ว่าคนอื่นเห็นหรือเปล่า แต่ เงานั้นเหมือนดั่งรูปร่างคนแก่ตัวดำ ใบหน้าดุ จนผมขนลุกชั้นได้แต่นั่งตัวแข็งมิกล้าคิดอะไร พอน้ำมนต์เข้าปากครู่เดียว น้าหมายรู้สึกตัวเต็มที่ หายปวดหัวเป็นปลิดทิ้ง ราวกับได้ยาอันมหัศจรรย์ ส่วนเงานั้นยังยืนอยู่ห่างออกไป ด้านหลัง ข้าง ๆ แม่หมอ ผมมิใช่คนกลัวผี แต่เงานั้นทำให้ผมขนลุก
“ว่าไงละไอ้หมาย มึงนี่มันตัวดี” แม่หมอทัก
“เป็นไง ดีขึ้นมั๊ย”ลุงไข่ฉิมถาม
“หายแล้วพี่ ไม่ปวดแล้ว” น้าหมายกลับมาพูดจาปกติ เหมือนกับว่าไม่เคยป่วยหรือเป็นอะไรมาก่อน ผมเห็นลุงไข่ฉิมกับน้าไทแสดงท่าทางโล่งอก คนอื่น ๆก็เหมือนกัน ราวกับว่าเรื่องร้ายผ่านไปแล้ว แต่ที่ผมเห็น เงาดำนั้นยังยืนอยู่เหมือนกับว่ายังจะเอาเรื่องไม่เลิกรา
“เรื่องมันเป็นไงมาไงละหมอ”ลุงไข่ฉิมถาม
“เอาเป็นว่ากูถามมึงก่อน ไอ้ไข่มึงนั่งฟังเอา ว่าน้องมึงว่ายังไง” ลุงไข่นั่งนิ่งด้วยความเคารพยำเกรง “ไอ้หมาย มึงบอกกูถิ๊ เมื่อสามวันก่อน มึงไปถางสวนยางริมห้วยรึเปล่า”
“ครับ ผมไปถาง” น้าหมายยอมรับ
“เออ มึงยอมรับก็ดีแล้ว แล้วมึงเอาต้นไม้กิ่งไม้ที่มึงถางไปทิ้งที่ไหน”
“ทิ้งลงในแอ่งห้วยเล็ก” น้าหมายตอบเหมือนคนนึกเห็นบาปกรรมของตนเอง
“มึงเคยไปดูมั่งไหมหลังวันนั้น”
“ไม่เคยครับ” น้าหมายตอบเหมือนนึกได้
“มึงจะเชื่อหรือเปล่ากูก็ไม่รู้ แต่ที่มึงปวดหัวนั่นแค่สั่งสอนนะ เพราะมึงเอาขยะไปทิ้งลงบนหัวเจ้าห้วยทำให้น้ำในห้วยเน่า เขาเดือดร้อนเพราะมึงนั่นแหละ มึงกลับไปแล้วก็ไปรื้อเอาขยะที่มึงสุมลงในห้วย สุมลงบนหัวเจ้าห้วยออกซะ แล้วขอขมาเขา เดี๋ยวกูถามให้ว่าเขาจะเอาอะไรมั่ง” แม่หมอพูดเหมือนกับตาเห็น
“กูบอกมึงแล้ว ว่าอย่าทิ้งขยะลงในห้วย มึงมันหัวสมัยใหม่ไม่เชื่อ แล้วเป็นไงละ” ลุงไข่ฉิมหันไปดุน้องชาย น้าหมายเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ จะเอะอะโวยวายอะไรก็ไม่ถนัดเพราะตัวเองก็เพิ่งโดนเล่นงานมาหยก ๆ กลัวจะโดนอีกรอบเลยต้องสงบปากสงบคำไม่เชื่อก็ต้องเฉยไว้ละงานนี้ ส่วนแม่หมอ หลับตาพูดคุยเบา ๆ ผมเห็นเงาดำหันไปเจรจากับแม่หมอเหมือนสื่อสารกัน
“เออ เขาว่าเห็นแก่ที่เป็นญาติกะกู คราวนี้เขาจะยกโทษให้ แต่ต้องเอาไก่นึ่งสามตัวกะเหล้าขาวสามขวดไปขอขมาเขานะ ตอนนี้เป็นคืนเดือนมืด กูก็ช่วยได้เท่านี้ มึงต้องไปเอาขยะออกก่อน แล้วรอให้ถึงข้างขึ้นค่อยทำพิธีบอกกล่าวขอขมา ยังดีนะที่เขาไม่เล่นงานหนักกว่านี้ที่มึงเอาขยะไปสุมหัวเขา มึงไปทำหัวเขาเน่า เขาเลยเอาขยะมาสุมหัวมึงมั่ง ให้มึงปวดหัว จะได้รู้สำนึก”
ว่าแล้วแม่หมอก็จุดบุหรี่สูบ ท่าทางสบายใจเหมือนหมดเรื่องแล้ว แกพ่นควันขึ้นสูง ก่อนจะหันมาหรี่ตามองผม
“ดูท่าเหมือนมึงยังไม่เชื่อนะไอ้หมาย ถ้ามึงไม่เชื่อ ว่าเจ้าห้วยมาคุยกะกู มึงถามไอ้หนูที่นั่งอยู่ข้างหลังนั่นก็ได้ มันก็เห็น”
ผมนั่งตัวแข็งทื่อ รีบคิดในใจว่า อย่านะ ๆ ผมไม่เกี่ยวนะ แต่คนอื่น ๆ หันมามองผมกันใหญ่ เงานั้นหันมาจ้องผมด้วย ผมนี่ขนหัวลุกตั้งเลยเชียว แค่ท่าทางแสดงออกว่าผมกลัวนั่น ก็บอกอะไรพวกเขาได้ตั้งหลายอย่างแล้ว.......
...................................................................................................................................................