เรื่องวุ่นๆของพวกโลกติสต์ {YAOI}
“ พวกมึงงง กูไม่เข้าใจที่อาจารย์สอนเมื่อกี๊อ่า ไม่เข้าสมองกูเลยอ่ะ พวกมึงช่วยอธิบายให้กูอีกทีดิ น้าๆๆ “ ตินณ์โวยวายขึ้นมาพร้อมกับเขย่าแขนฟีฟ่าอ้อนวอนให้ช่วยอธิบาย เพราะตอนที่อาจารย์กำลังสอนอยู่ในคาบนั้นตินณ์หลับ จึงไม่รู้ว่าอาจารย์สอนไปถึงไหนแล้ว
“ หึ!! ไอ้เชี่ยตินณ์ กูว่ามึงไม่ได้ไม่เข้าใจที่อาจารย์เค้าสอนหรอก แต่มึงมันโง่เองต่างหาก 55555 โง่แถมยังเสือกหลับในห้องอีก ควายยย เหอะมึง 55555 ” ซิง พูดพร้อมกับหัวเราะด้วยความสะใจที่ได้แกล้งด่าเพื่อนรัก
“ หุบปากไปเลยไอ้ซิง กูไม่ได้ขอร้องมึง ไอ้ฟ่า น้าๆๆๆ ช่วยกูหน่อย” ตินณ์หันไปทำตาขึงใส่ซิง ก่อนที่จะหันมาเขย่าแขนฟีฟ่าต่อ พร้อมกับส่งสายตาอ้อวอนให้ฟีฟ่าช่วยอธิบาย
“ เออๆ มึงไม่เข้าใจตรงไหน เดี๋ยวกูจะอธิบายให้ ” ฟีฟ่าพูดกับตินณ์ด้วยน้ำเสียงติดรำคาญพร้อมกับนั่งลงบนเก้าอี้ที่ติดกับโต๊ะใต้อาคารเรียนของคณะ
“ เอ่อ ... อธิบายทั้งหมดเลยได้ป่ะ ” ตินณ์บอกพร้อมกับนั่งลงตรงข้ามกับฟีฟ่า
“ เออ แม่ง ทีอาจารย์สอน มึงเสือกหลับ พอตอนนี้เป็นไงล่ะมึง ” ซิงพูดแขวะตินณ์แล้วเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผากตินณ์แรงๆ ด้วยความหมั่นไส้
โป๊ก!!!!!!
“ โอ๊ยยยย ไอ้เชี่ยตินณ์ กูเจ็บน่ะโว๊ย ตีมาได้ไงว่ะมึง ” ซิงร้องออกมาเมื่อตินณ์เอาหนังสือที่ตัวเองถืออยู่ตบหัวซิง ข้อหากวนตีน
“ เออ กูตีให้มึงเจ็บ สัส กวนตีนกูจัง ” ตินณ์เงื้อมือจะตีอีกครั้งแต่ซิงดันลุกขึ้นหนีไปซะก่อน ทำให้ตินณ์รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย
“ 5555 มึงไม่มีทางที่จะตีกูได้เป็นครั้งที่สองหรอก ไอ้คุณตินณ์ ” ซิงเมื่อวิ่งได้ซักพักก็หันมาตะโกนบอกตินณ์แล้วทำหน้ากวนตีน ก่อนจะยกนิ้วกลางขึ้น
“ แน่จริงมึงอย่าหนีกูดิว่ะ ไอ้เชี่ยซิง ” ตินณ์หันไปตะโกนใส่เพื่อน ก่อนที่จะเงียบเพราะว่าตอนนี้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างหันมามองที่โต๊ะของตินณ์
“ ว่าไงมึง ยังอยากจะเรียนมั๊ยครับ ” ฟีฟ่าพูดมาพร้อมกับยืนขึ้นแล้วกอดอกถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ เรียนดิ ว่ามาเลยมึง ” ตินณ์หันมาทางน้ำเสียงแล้วกระตือรือร้นเปิดหนังสือเรียนทันที
“ เฮ้อออ ” เสียงถอนหายใจของฟีฟ่าดังขึ้นพร้อมกับส่ายหัวไปมาก่อนที่จะนั่งลงแล้วเปิดหนังสือของตัวเองตาม
“ มึงจะถอนหายใจแรงอะไรนักหนาว่ะ สอนกูเหอะ จะได้รีบไปกินข้าว ” ตินณ์เงยหน้ามองคนตรงหน้าพร้อมกับพูดออกมา แต่ก็ต้องรีบก้มหน้าลงเพราะว่าตอนนี้ฟีฟ่ามองตินณ์ด้วยสายตาที่ไม่สบอารมณ์ซักเท่าไหร่
“ อะ อันนี้อ่ะมึง มึงช่วยขยายความให้กูหน่อยได้ไหม ” ตินณ์จึงคลายบรรยกาศที่อึดอัดด้วยการพลิกเปิดหนังสือไปที่หน้าที่ตนเองอยากรู้ พร้อมกับยื่นให้ฟีฟ่าดู ตินณ์กัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย เพราะรู้สึกว่าคนตรงหน้ายังทำหน้าทำตาขวางๆอยู่ แล้วตินณ์ก็เอาหนังสือกลับที่ตนเองก่อนที่จะเขี่ยๆเล่น ในหน้าที่ตินณ์ถามฟีฟ่าเมื่อกี๊
“ หึ !! อันนี้ เค้ากำลังบอกถึงเรื่องประวัติความเป็นมาของวิธีสอนภาษาเพื่อการสื่อสารไงมึง ” ฟีฟ่าหัวเราะในลำคอเบาๆก่อนที่จะอธิบายให้ตินณ์ฟัง ตินณ์จึงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยที่ฟีฟ่ายอมพูดอธิบาย จึงทำให้บรรยากาศที่มาคุเมื่อกี๊กลับสบายๆขึ้น
“ ประวัติงั้นเหรอ แล้วมันบอกว่าไงมั่งอ่า ” ตินณ์ถามฟีฟ่าแล้วเงยหน้ามอง
“ มันก็บอกว่า ในช่วงก่อนศตวรรษ 1970 เค้ามีความเชื่อที่ว่าการเรียนการสอนภาษาในช่วงนั้น ถ้าผู้สอนให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของภาษา และคำศัพท์ จะทำให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ดี ” ฟีฟ่าอธิบายและมองปฏิกริยาของคนตรงหน้าไปด้วย
“ อ๋อ งั้นก็แสดงว่ามันได้ผลอ่ะดิ ใช่ป่ะ” ตินณ์พูดพร้อมกับยิ้มเล็กๆออกมา ซึ่งก็ทำให้ฟีฟ่าถึงกับต้องกระแอมเสียงของตัวเองเพื่อเพื่อข่มความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ แต่ตินณ์ก็ไม่ได้ถามว่าฟีฟ่าเป็นอะไรเพราะกำลังสนใจกับการเรียนอยู่
“ เปล่า !!! .” ฟีฟ่าตอบพร้อมกับมองตินณ์
“ อ้าว!!! ทำไมอ่ะ ” ตินณ์ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
“ มันก็แค่ความเชื่ออ่ะมึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปรากกว่า ถึงแม้ว่าผู้เรียนจะเรียนรู้ศัพท์ รู้โครงสร้างของภาษาต่างประเทศเป็นอย่างดี แต่มันก็ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศที่เรียนได้ ” ฟีฟ่าอธิบายพร้อมกับยิ้มบางๆเมื่อคนตรงหน้าฟังด้วยความตั้งใจและจดทุกคำพูดที่ฟีฟ่าพูด
“ โหห นี่มึงจดทุกคำพูดที่กูพูดเลยหรือว่ะ ไอ้ตินณ์” ฟีฟ่าพูดอย่างขำๆ
“ เออ หน่า กูกลัวไม่เข้าใจนี่หว่า มึงอธิบายต่อดิว่ะ” ตินณ์เงยหน้าจากการจดแล้วมองหน้าเพื่อนพร้อมกับพูดเชิงบังคับให้เพื่อนอธิบายต่อ
“ เออๆ ว่าแต่ถึงไหนแล้วว่ะ ” ฟีฟ่าแกล้งถามคนตรงหน้า
“ ก็ถึงตรงที่มึงบอกว่า ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาต่างประเทศที่เรียนได้ ไง ” ตินณ์บอกด้วยน้ำเสียงสดใส
“ อ๋อ เออๆๆ ถึงแม้ว่ามันสื่อสารได้แต่มันก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าใช้ภาษาไม่เหมาะสมบ้าง ใช้ภาษาในลักษณะที่เจ้าของภาษาไม่ยอมรับบ้าง จนถึงในช่วงเวลาประมาณปี ค.ศ. 1975 จึงได้มีนักคิดทางด้านการเรียนการสอนภาษาเสนอแนวคิดการสอนแบบใหม่ขึ้นมา มึงลองเดาดิว่าเค้าเสนอแนวการสอนแบบไหน ” ฟีฟ่าถามตินณ์ ตินณ์หยุดการจดแล้วพยายามคิดว่าถึงคำถามที่ฟีฟ่าถาม ก่อนที่จะส่ายหน้าไปมาด้วยความไม่รู้
“ เออ กูเฉลยก็ได้ เค้าเสนอวิธีการสอน ภาษาเพื่อการสื่อสารไงมึง” ฟีฟ่าเฉลยให้ตินณ์ฟัง
“ 555 กูนี่โง่เนอะ ก็หัวข้อมันบอกโทนโท่อยู่แล้วว่า วิธีการสอนเพื่อการสื่อสาร ” ตินณ์หัวเราะออกมาพร้อมกับชี้นิ้วไปที่หัวข้อที่กำลังติวอยู่
“ แล้ววิธีสอนแบบนี้เค้าใช้ยังไงอ่ะ แล้วเค้าสอนไปเพื่อไรอ่ะ” ตินณ์ถามฟีฟ่าต่อ
“ การสอนภาษาตามวิธีนี้เค้ายึดถือว่า ภาษาคือเครื่องมือสื่อสาร หรือเพื่อสื่อความหมาย ดังนั้นการสอนภาษาจึงมีจุดมุ่งหมายสำคัญ ก็คือ เพื่อให้ผู้เรียนใช้ภาษาในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับบุคลที่จะติดต่อด้วย อ้อ!!!! แล้วบทเรียนที่จะนำมาสอนเนี่ย ก็จะไม่สอนยึดเนื้อหาทางไวยกรณ์หรือว่าโครงสร้างของภาษาเป็นหลัก แต่ว่ามันจะยึดหน้าที่เป็นสำคัญ แต่มันก็ไม่ได้ละเลยเรื่องไวยกรณ์น่ะมึง ” ฟีฟ่าอธิบายยาวเหยียดพร้อมๆกับมองตินณ์ด้วย อันที่จริงฟีฟ่าไม่จำเป็นต้องเปิดหนังสืออธิบายให้ตินณ์ฟังหรอก แต่เพราะเค้าไม่อยากให้คนตรงหน้ารู้สึกไม่ดี เค้าเลยเปิดหนังสือเป็นเพื่อน
“ อ๋ออ วิธีสอนแบบนี้มันยึดหน้าที่เป็นหลักแต่มันก็ไม่ละเลยเรื่องไวยกรณ์ เออๆๆ กูพอจะเข้าใจละ ” ตินณ์พูดออกมาอย่างยิ้มๆ
“ เออ แล้วไอ้ วิลเลี่ยม ลิตเต้ลวูด เค้าก็ได้บอกว่า ลักษณะสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการสอนภาเพื่อการสื่อสารก็คือ การให้ความสนใจอย่างเป็นระบบต่อหน้าที่และโครงสร้างของภาษา โดยการประสมประสาน 2 อย่างนี้เข้าด้วยกัน และมันก็ทำให้เกิดการสื่อสารที่สมบูรณ์ไงมึง” ฟีฟ่าลอบมองคนตรงหน้าไปด้วย และได้เห็นว่าคนตรงหน้าเริ่มมีปฏิกิริยาที่เรียกได้ว่ายังไม่เข้าใจ
“ ผสมยังไงอ่ะมึง แล้วมันเหมือนกับที่เอาน้ำตาลมาผสมกับน้ำป่ะ ” ตินณ์ถามด้วยความอยากรู้
“ อืม ก็ประมาณนั้นแหละ ”ฟีฟ่าตอบพร้อมกับพยักหน้าไปด้วย
“ เออๆๆ ต่อเลยมึง กูกำลังได้ที่เลยเนี่ยยย ” ตินณ์พูดพร้อมกับก้มหน้าก้มตาเตรียมที่จะจดทุกคำพูดของฟีฟ่า
“ เดี๋ยวกูจะอธิบายเรื่องหน้าที่ของภาษาให้มึงฟังต่อละกัน ” ฟีฟ่าบอก
“ อธิบายเลยมึง มัวแต่พูดอยู่ได้ ” ตินณ์ว่าออกไปอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“ ไอ้นี่ เดี๋ยวกูตบคว่ำหรอกมึง ” ฟีฟ่าทำท่าจะตบตินณ์ แต่ตินณ์เอามือบังพร้อมกับหันหน้าหนี
“ มึงคิดว่ากูจะตบมึงจริงงั้นดิ หันหน้ามานี่เลยมึง มึงจะเรียนมั๊ยไอ้ตินณ์แม่งเถียงกูได้ฉอดๆ ” ฟีฟ่าเอามือตัวเองกลับพร้อมกับพูดกระแทกกระทั้นไอ้ตินณ์
“ เออๆ มึงก็แม่งกวนตีนกูอ่ะ ก็กูอยากเรียนกับมึงนี่หว่า ” ตินณ์พูดด้วยเสียงแผ่วในตอนหลัง ฟีฟ่ามองแล้วยิ้มๆกับอาการของคนตรงหน้า
“ หน้าที่ของภาษา หรือว่า Language Functions ก็หมายถึงความมุ่งหมายในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารไงมึง ” ฟีฟ่าอธิบายแล้วมองคนตรงหน้าที่ไม่ยอมเงยหน้ามองตน
“ ละ แล้วมันใช้ยังไงมั่งอ่ะ ” ตินณ์ถามออกไปแต่ไม่ยอมมเงยหน้ามองฟีฟ่า
“ หึหึ ” ฟีฟ่าแค่นหัวเราะออกมา
“ มึงขำไรอ่ะ ” ได้ผล เมื่อฟีฟ่าลองแกล้งหัวเราะออกมาเพื่อต้องการให้คนตรงหน้ายอมเงยหน้ามามองตน
“ เปล๊า !!! ” ฟีฟ่าตอบพร้อมกับยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆแล้วยกยิ้มที่มุมปาก
“ ชิส์ มึงแม่งขัดสมาธิกูหมดเลยไอ้ฟ่า กูอุตส่าห์ตั้งใจจะติวกับมึง แต่มึงแม่งชอบแกล้งกูว่ะ ” ตินณ์พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ติดงอนนิดๆ
“ กูแกล้งมึงตรงไหน ไอ้ตินณ์” ฟีฟ่ายังคงลอยหน้าลอยตาแกล้งตินณ์ต่อพร้อมกับยักคิ้วอย่างกวนๆ
พรึ่บ!!!!!
“ นั่นมึงจะทำอะไร ” ฟีฟ่าถามออกมาด้วยน้ำเสียงติดแข็งนิดๆ
“ ฮึ ก็มึงไม่ยอมสอนกูอ่ะ กูให้ไอ้ซิงสอนก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อมึงเลย ” ตินณ์เตรียมจะเก็บหนังสือเข้าไปในกระเป๋า แต่ฟีฟ่าก็คว้ามือไปจับมือของตินณ์ซะก่อน
“ ไม่ต้องเสือกไปให้ไอ้ซิงสอนเลยมึง แล้วกูบอกมึงเมื่อไหร่ว่ากูไมอยากสอนมึงห๊ะ ไอ้ตินณ์ ” ฟีฟ่าพูดแล้วมองคนตรงหน้าอย่างโกรธนิดๆ เมื่อคนตรงหน้าพูดว่าจะให้คนอื่นสอน
“ เปิดหนังสือดิ กูยังสอนมึงไม่เสร็จเลย ” ฟีฟ่าพูดเชิงบังคับ
“ มึงก็เป็นซะอย่างนี้ ชอบบังคับกู แม่ง ” ตินณ์พูดมาอย่างขัดใจแต่ก็ยอมเปิดหนังสือหน้าที่กำลังเรียนอยู่เมื่อกี๊
“ ความมุ่งหมายในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ก็อย่างเช่น เราใช้ในชีวิตประจำวัน ที่เรามักจะถามคนอื่นอยู่เสมอๆไงมึง หรือไม่ก็คนอื่นถามเราไง ก็เหมือนกับเราพูดคุยสนทนากันเรื่องทั่วๆไปไงมึง แล้วมึงรู้ป่ะว่าจุดมุ่งหมายของการถามคืออะไร ” ฟีฟ่าอธิบายต่อแล้วถามคนตรงหน้าในประโยคสุดท้าย
“ ก็ ถามเพื่อต้องการคำตอบไง ใช่ป่ะ ” ตินณ์พูดออกมาด้วยความมั่นใจ อารมณ์ขุ่นมัวของตินณ์หายไปทันทีเมื่อฟีฟ่าพูดอธิบาย
“ อืม ฉลาดเหมือนกันน่ะมึง ” ฟีฟ่าพูดออกมายิ้มๆพร้อมกับเอามือไปขยี้ผมตินณ์อย่างหมั่นไส้
“ เชี่ยฟ่า ผมกูยุ่งหมดเลยมึง แม่ง ” ตินณ์พูดแล้วจับมือของฟีฟ่าที่กำลังขยี้ผมของตัวเองอยู่
“ ทำไมมึงหน้าแดงว่ะไอ้ตินณ์ ” ฟีฟ่าถามอย่างยิ้มๆ ตินณ์เอามือไปสัมผัสกับหน้าของตัวเองอย่างทันที
“ กะ กูร้อนเหอะมึง ” ตินณ์หันหน้าหนีฟีฟ่าแล้วทำท่าพัดหน้า เหมือนกับว่าอากาศในตอนนี้มันร้อน ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันไม่ได้ร้อนอะไรมากมายซะหน่อย
“ อืม ร้อนก็ร้อน แล้วมึงจะหันหลังให้กูอีกทำไมอีกเนี่ย หันมาทางนี้สิว่ะ มึงหันหลังให้กูแล้วกูจะสอนมึงได้ไงว่ะ ” ฟีฟ่าเอื้อมมือจะจับไหล่ให้ตินณ์หันหน้ามาองตน
“เออๆๆ มึงก็สอนๆกูซิว่ะ มัวแต่เล่นอยู่ได้อ่ะมึง ” ตินณ์หันหน้าแล้วงุดหน้าพูดโดยที่ไม่ได้เงยหน้าแต่อย่างใด
“ มึงก็รู้แล้วว่าจุดมุ่งหมายของการถามก็คือต้องการคำตอบ นั่นก็คือ การถามหาความรู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ และการตอบคำถามของเราก็คือการให้ความรู้ในสิ่งที่เรารู้แต่คนถามเค้าไม่รู้ ดังนั้นการหาและการให้ข้อมูลจึงเป็นจุดมุ่งหมายหรือหน้าที่หนึ่งในการใช้ภาษาไงมึง แล้วนอกจากนี้น่ะเว๊ย เราก็ยังสามารถใช้ภาษาเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นอีกด้วย มึงลองบอกกูดิว่าใช้ในด้านอะไรบ้างนอกเหนือจากที่กูบอกเมื่อกี๊ ” ฟีฟ่าอธิบายไปด้วยพร้อมกับถามให้คนตรงหน้าได้ใช้ความคิดเห็นของตัวบ้าง
“ กูไม่รู้จริงๆว่ะ กูโง่ไงมึง มึงบอกกูมาเหอะ น้าๆๆๆ” ตินณ์ส่ายหน้าด้วยความไม่รู้จริงแล้วพูดอ้อนเพื่อให้ฟีฟ่าตอบตนเอง
“อืมๆๆ ก็ใช้ในการออกคำสั่ง ชักชวน ขอร้อง ขอโทษ โต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ เห็นด้วย อะไรประมาณนี้ หัวข้อที่กูกำลังบอกเนี่ย มันก็คือหน้าที่หรือจุดมุ่งหมายในการใช้ภาษา พอเวลาสอนภาษาเราก็จะยึดหัวข้อเหล่านี้ในลักษณะนี้ไง พอจะเข้าใจมั๊ย ” ฟีฟ่าค่อยๆอธิบายให้ฟัง
“ ก็เข้าใจอยู่น่ะ ” ตินณ์พูดพร้อมกับขมวดคิ้วนิดๆ
“ ถ้ามึงเข้าใจแล้วมึงจะขมวดคิ้วทำไมว่ะ ไหนมึงลองบอกกูหน่อยดิ ว่ามึงเข้าใจยังไง ” ฟีฟ่าถามแล้วจ้องหน้าติ นณ์อย่างเอาจริงเอาจัง
“ก็นอกจากที่เราจะใช้ในการถามตอบ จุดมุ่งหมายอย่างอื่นของภาษาก็มีใช้ในกาออก คำสั่ง ชักชวน ขอร้อง ขอโทษ โต้แย้ง วิพากษ์วิจารณ์ เห็นด้วย แล้วหัวข้อพวกนี้มันก็คือหน้าที่หรือว่าจุดมุ่งหมายในการใช้ภาษา พอเวลาเราจะใช้สอนเราก็จะยึดหัวข้อเหล่านี้ไง เป็นไงมึง กูบอกถูกป่ะ ” ตินณ์อธิบายในสิ่งที่ตัวเองพอจะเข้าใจและจับประเด็นได้จากการฟังฟีฟ่าอธิบายให้ตัวเองก่อนหน้านี้ให้ฟีฟ่าฟัง ( งงป่ะ 555555 )
“ มึงๆๆ วิธีสอนแบบนี้มันมีกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยหรือมึง ” ตินณ์ชี้นิ้วไปที่หนังสือหน้าที่ตัวเองถาม
“ ใช่ กิจกรรมที่จะจัด เดี๋ยวกูจะสรุปเป็นข้อๆละกัน มึงจะได้แยกออกด้วยไง ว่ามันมีอะไรบ้าง ” ฟีฟ่าพูดแล้วพลิกหนังสือไปมาเพื่อดูหัวข้อที่จะอธิบายให้ฟัง
“ ดีๆๆๆ ” ตินณ์พูดแล้วฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
“กิจกรรมที่ใช้ก็จะมี กิจกรรมที่ฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์ที่เป็นจริงหรือว่าใกล้เคียงความจริง ก็จะกำหนดสถานการณ์ต่าง อย่างเช่น At the Post Office แล้วก็เลือกด้วยว่าในสถานการณ์นั้น ผู้เรียนต้องใช้ภาษาในหน้าที่หรือว่าหัวข้อใดบ้าง หลังจากนั้นเราก็ให้ผู้เรียนทำกิจกรรม ก็อย่างเช่น แสดงบทบาทสมมุติ เป็นเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ เป็นผู้ซื้อแสตมป์ ไปส่งของ หรือไปรับธนบัติ อะไรประมาณนี้ โดยที่ให้ผู้เรียนใช้ภาษาโต้ตอบกัน “ ฟีฟ่าอธิบายไปด้วยพร้อมหยิบปากกาในกล่องดินสอของตินณ์มาคาบหู
“ ฟังดูน่าสนุกเนาะ กิจกรรมอันนี้อ่ะ ละ แล้วกิจกรรมอันอื่นล่ะมีอีกป่ะ ” ตินณ์เงยหน้าพูดอย่างขำๆแล้วถามฟีฟ่าต่อ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นฟีฟ่าในตอนนี้ ตินณ์เริ่มมีความร็สึกเหมือนท้องมันหวิวๆเมื่อได้เห็นคนตรงหน้าเอาปากกาคีบไว้ที่หู เพราะว่ามันดูดีและเท่ห์มาก ในความคิดของตินณ์ ก่อนที่ตินณ์จะงุดหน้าลงเเล้วพยายามมองที่ตัวหนังสือที่ฟีฟ่ากำลังจะอธิบาย
“ กิจกรรมอันที่ 2 คือ กิจกรรมการเรียนการสอนและเนื้อหาภาษาที่สอนให้สอดคล้องกับความจำเป็นและความต้องการของผู้เรียนที่จะนำไปใช้ได้จริงๆ เช่นถ้าผู้เรียนเรียนภาษาเพื่อไปอยู่ในสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษ เราก็ต้องสอนให้เขาสามารถสื่อความ หรือให้แน่ใจว่าเขาจะสามารถบอกและปฏิบัติทุกอย่างที่เขาอยากจะพูดหรือได้รับคำบอกเล่าให้ฟัง ตลอดจนให้เขารู้จักปรับปรุงหรือว่าแก้ไขพฤติกรรมทางภาษาของเขาได้ด้วย ” ฟีฟ่าอธิบายต่ออย่างยาวเหยียด พร้อมๆกับยิ้มยกมุมปาก เพราะเค้าก็พอจะรู้ว่าทำไมคนตรงหน้าถึงมีอาการแบบนี้ ( ฟีฟ่าโรคจิตว่ะ 5555 ) ตินณ์ก็ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแต่ไม่ได้เงยหน้ามองคนตรงหน้าแต่อย่างใด
( เชี่ยยย !!! ทำไมหัวใจกูมันเต้นแรงขนดนี้ว่ะ ) ตินณ์พูดในใจด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะดีนัก
“ ไอ้ตินณ์ มึงเป็นไรป่ะว่ะ ” ฟีฟ่ายื่นหน้าเข้าไปถามขึ้นหลังจากเห็นอาการของตินณ์ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ เฮ๊ยย !!! ปะ เปล่า กะ กู หิวน้ำอ่ะ อากาศมันร้อนไง ” ตินณ์ตกใจที่ฟีฟ่ายื่นหน้ามาในระยะประชิด จึงทำให้ตินณ์พูดติด ตะกุกตะกัก ออกมา พร้อมกับหันหน้าหนีไปอีกทาง เพื่อกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง
“ ไอ้ซิง มึงหายไปไหนมาว่ะ ” ตินณ์ที่ตอนนี้หันยังหันหลังให้กับฟีฟ่า ตะโกนเรียกเพื่อนอีกคนที่หนีเค้าไป ซิงเดินเข้ามาหาเพื่อนแล้วนั่งลงข้างตินณ์ พร้อมกับยกถุงเซเว่นขึ้น ฟีฟ่ารีบปรับสีหน้าที่กำลังยิ้มอยู่ให้กับอาการของคนตรงอย่างทันทีเมื่อซิงเข้ามานั่งใกล้ตินณ์
“ เฮ๊ยยย !!! มึงรู้ได้ไงเนี่ยว่ากูกำลังอยากกินน้ำอันนี้อ่ะ ” ตินณ์รีบค้นถุงเซเว่นก่อนจะหยิบน้ำสีแดงๆออกมาแล้วหันไปยิ้มให้กับซิง
“ ก็กูเห็นมึง แดกแต่น้ำไอ้เนี่ยยย ” ซิงหันไปพูดกับตินณ์ พร้อมกับยักคิ้วแล้วยิ้ม
“ ว่าแต่พวกมึงติวไปถึงไหนแล้วว่ะ นี่ก็จะบ่ายโมงแล้วน่ะโว๊ย ” ซิงหันไปถามฟีฟ่าที่ตอนนี้กำลังกอดอกมองตินณ์ที่กำลังกินน้ำที่ซิงซื้อมาให้อย่างเอร็ดอร่อย
“ อืม เหลืออีกนิดเดียวแล้ว ” ฟีฟ่าตอบแต่ไม่ได้หันไปมองซิงแต่อย่างใด แต่เค้ากำลังมองอีกคน ซึ่งก็ทำให้ซิงขมวดคิ้วมองไปที่ตินณ์และฟีฟ่าสลับไปมา ก่อนที่จะยิ้มออกมาคนเดียว
พรึ่บ!!!
“ เฮ๊ยยยย !!! ” เสียงของตินณ์ดังขึ้น เมื่อซิงเอามือของตัวเองไปวางพาดบ่าของตินณ์ แล้วเอามืออีกข้างเช็ดปากตินณ์ที่เลอะน้ำแดง
“ แดก ยังไงของมึงว่ะ แม่งเลอะหมดแล้วเนี่ย ” ซิงว่าอย่างยิ้มๆ แล้วค่อยๆเช็ดปากตินณ์เบาๆ แต่หางตาของซิงกำลังสังเกตุเพื่อนอีกคนนึงที่ตอนนี้กำลังมองทั้งคู่ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง
ปัง!!!
เสียงหนังสือที่กระทบอย่างแรงกับโต๊ะ ทำให้ทั้งตินณ์และซิงต้องหันไปมองอย่างรวดเร็ว
“ กูจะเข้าไปรอในห้องก่อนละกัน ” ฟีฟ่ามองหน้าตินณ์แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเรียบเรียบนิ่งด้วยสายตาที่ดุๆ และเลยไปมองเพื่อนอีกคนที่ตอนนี้กำลังกอดคอตินณ์อยู่ ก่อนที่จะลุกขึ้นเก็บหนังสือใส่กระเป๋าของตัวเอง
“ เฮ๊ยยย ตะ แต่ยังสอนกูไม่เสร็จเลยน่ะเว๊ยย ” ตินณ์พูดออกมาพร้อมกับกลืนน้ำลายของตัวเองอย่างยากลำบากเมื่อเห็นสายตาที่ฟีฟ่ามองมาที่ตน แต่ฟีฟ่าไม่ได้ตอบ เมื่อฟีฟ่าเก็บหนังสือเสร็จแล้ว ก็รีบเดินไปยังห้องเรียนทันที ปล่อยให้ตินณ์มองไปด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ ว่าทำไมฟีฟ่าถึงรีบไปเรียนและไม่ยอมตอบคำถามของตัวเอง
// แม่งเป็นอะไรของมันอีกว่ะ // ตินณ์คิดในใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันหน้าไปมองซิงด้วยสายตาขวางๆ ส่วนซิงก็รีบหุบยิ้มทันทีเมื่อตินณ์หันหน้ามามองตน
“ ทำไม มองหน้ากูงี้ มึงมีไร ” ซิงถามแล้วคลายมือตัวเองออกมาหลังจากที่กอดคอตินณ์อยู่เมื่อซักครู่
“ เชี่ยยย ซิง นี่แน่ะ ๆๆๆๆๆๆ ” ตินณ์ฟาดหนังสือกระหน่ำลงมาบนตัวซิงด้วยความโมโห
“ เฮ๊ยยย ไอ้ตินณ์กูเจ็บน่ะเว๊ยย ” ซิงปัดป้องเมื่อตินณ์ฟาดหนังสือตี
“มึงโกรธอะไรกูว่ะ แม่งฟาดลงมาได้ ” ซิงถามออกไป ทำให้ตินณ์ที่กำลังจะฟาดลงมาหยุดชะงักกึกไปทันที
“ ก็มึง ฮึ่ย .... ” ตินณ์รู้สึกขัดใจเพื่อนไม่น้อยที่มันหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ ตินณ์รีบดูดน้ำแล้วรีบตามฟีฟ่าเข้าไปในห้องเรียนอย่างรวดเร็วส่วนซิงก็มองตามด้วยความสะใจที่รู้จุดอ่อนของฟีฟ่า
“ ไอ้ฟ่า” ตินณ์ถึงกับหอบเมื่อเข้ามาถึงในห้องเรียน เพราะตินณ์ต้องวิ่งเนื่องจากตินณ์ขาสั้นกว่าฟีฟ่าเลยเดินตามไม่ทัน ส่วนฟีฟ่าก็ยังคงทำเป็นไม่ได้ยิน พร้อมกับเอาหูฟังอุดหูแล้วทำท่าเปิดเพลงฟัง
“ ไอ้เชี่ย แม่งกูทำผิดอะไรนักหนาวะ เรียกก็ไม่หัน เสือกเมินกูอีก” ตินณ์พูดกับตัวเองเบาๆ แต่ฟีฟ่าก็ได้ยินเพราะฟีฟ่าไม่ได้เปิดเพลงหรืออะไรฟังแต่อย่างใด ตินณ์ทำได้เพียงนั่งลงข้างหลังฟีฟ่า แล้วฟังเพลงพร้อมกับฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะเรียน
หลังจากคาบบ่ายฟีฟ่าแทบไม่ได้คุยอะไรกับตินณ์เลยแม้แต่น้อย ทำให้บรรยากาศนั้นเริ่มอึดอัดพอสมควร ซิงก็ได้แต่สังเกตุอาการของเพื่อนทั้งสองก่อนที่จะขอตัวกลับก่อน เพราะคิดว่าทั้งฟีฟ่าและตินณ์น่าจะมีเรื่องที่ต้องคุยกัน เมื่อซิงกลับไปแล้วตินณ์ก็ยิ่งรู้สึกกระวนกระวายเพราะไม่รู้จะพูดอไรกับฟีฟ่า ส่วนฟีฟ่าเองก็นั่งอ่านหนังสือทบทวนไม่แม้ที่จะสนใจตินณ์เลยสักนิด
“ ไอ้ฟ่า มึงโกรธอะไรกูว่ะ” ตินณ์ทนไม่ไหว เลยเอ่ยปากถามออกไป แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากอีกฝ่ายแต่อย่างไร ซ้ำฟีฟ่ายังพลิกหน้าหนังสืออ่านต่อไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงที่ตินณ์ถาม ตินณ์ฮึดฮัดรู้สึกขัดใจกับท่าทีแปลกๆของเพื่อน อยากจะเอ่ยปากด่าแต่ประกอบกับช่วงที่มีผู้หญิงเดินเข้ามาหาคนทั้งคู่พอดี เลยทำให้ตินณ์ระงับปากตัวเองได้ทัน
“ สวัสดีค่ะพี่ฟ่า จำซีนได้มั๊ยค่ะ ”
“ อ่าครับ ”
“ คืนนี้พี่ฟ่าว่างมั๊ย”
“ ครับ”
“ เดี๋ยวไอ้ฟ่า คืนนี้มึงนัดกับพวกกูไปร้านพี่หนวดน่ะ”
“ อ่า จริงเหรอค่ะ งั้นซีนไปด้วยได้มั๊ยค่ะ น้าๆๆ”
“ ก็ได้ครับ”
“ งั้นซีนไปก่อนน่ะค่ะ เดี๋ยวคืนนี้เจอกัน บายค่ะ”
“ เหอะ” ตินณ์ทำเสียงขึ้นจมูก เพราะรู้สึกหมั่นไส้ ทีเขาเรียกเพื่อจะคุยฟีฟ่าไม่เห็นจะสนใจเลย พอเป็นผู้หญิงเข้าหน่อยก็รีบตอบไปเลย มันน่านัก
ฟีฟ่าลุกขึ้นยืนแล้วเก็บหนังสือใส่กระเป๋าด้วยท่วงท่าที่ไม่ได้รีบร้อนอะไ ซำยังดูเหมือนเป็นกวนตีนใครบางคนเถียวนี้อีกด้วย
ตินณ์นั่งมองฟีฟ่าอย่างเงียบๆ แต่ตรงข้ามกับใจที่ตอนนี้ร้อนรุ่มอยากรู้ขึ้นมาตงิดๆว่าฟีฟ่าเป็นอะไร พูดด้วยทำไมไม่พูด
พาลทำให้รู้สึกเหมือนจุกแน่นในอก ขอบตาเริ่มแดง
“ ไอ้ฟ่า มะ มึง อึก โกรธกู ระ เรื่อง อะ อะไร อ่ะ ฮึก ” สุดจะทน ตินณ์ก็ร้องไห้ออกมาในที่สุด เขาเป็นคนเก็บความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง อยากร้องไห้ก็ร้อง ยิ่งโดยเฉพาะกับเพื่อนคนนี้แล้วด้วย
ฟีฟ่ามองเพื่อนสนิทของตัวเอง ก่อนจะถอนใจออกมาเบาๆ
“ ร้องไห้ทำไม”
“ ฮึก ก็มึง ไม่ยอมพูดกับกูอ่ะ ฮึก ”
“หยุดร้องเดี๋ยวนี้ ”
“ ฮึก กะ กูหยุดไม่ได้ ฮือๆๆๆ”
“ มึงจะร้องไห้อะไรนักหนา”
“ กะ ก็มึงโกรธกู มะ มึงไม่พูด ฮึก กับกู ฮึก มึงเมินกู ฮึก ฮืๆๆ”
“ ตินณ์ หยุดร้อง”
“ ฮึก ฮือๆๆ ”
“ กูบอกให้หยุด” ฟีฟ่าตะคอก ทำให้ตินณืชะงักและมองเพื่อนด้วยสายตาตัดพ้อ
“ มึงมันบ้า บ้า ”ตินณ์ผุดลุกขึ้นแล้วรีบออกไปจากห้องแต่
พรึ่บ !!!
“ มึงจะไปไหน”
“ ปล่อย ฮึก กู”
“ กูไม่ปล่อย”
“ กูบอกให้ปล่อยไง ไอ้เชี่ย”
“ หยุดดิ้นดิว่ะ”
“ ไอ้เชี่ยฟ่าปล่อยกู ปล่อย อื้ออออ ” ฟีฟ่ารั้งท้ายทอยของตินณ์เข้ามาตน ก่อนจะจรดริมฝีปากทาบทับอีกฝ่าย ตินณ์เบิกตาโพลง รู้สึกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกจนเผลอเปิดปาก ทำให้ฟีฟ่าใช้จังหวะนั้นเพื่อนสอดลิ้นของตัวเองเข้าไปชิมความหอมหวานของอีกฝ่ายอย่างเอาแต่ใจ จูบที่ร้อนแรง จูบที่ทำให้ตินณ์รู้สึกสับสน เพราะเพื่อนกันเขาไม่จูบกันหรอก
“ อื้อออ” ตินณ์ครางออกมาเพราะความเสียวซ่านที่เกิดขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ นานกว่าที่ฟีฟ่าจะยอมถอนจูบออกมา ตินณ์ใช้หลังมือเช็กปากตัวเองลวกๆ หายใจหอบถี่ เพราะตอนจูบเมื่อกี๊เขากลั้นหายใจ
“ กูจะไม่ขอโทษที่กูจูบมึง”
“.......”
“ เพราะกูตั้งใจ”
“ ........”
“ ตินณ์ มันถึงเวลาแล้ว”
“ ........”
“ กูชอบมึง” ฟีฟ่าพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่กำลังยืนนิ่งกระพิบตาปริบๆด้วยความอึ้ง ฟีฟ่าค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ก่อนจะประทับริมฝีปากอีกครั้ง จูบที่อ่อนโยน จูบที่รับรู้ได้ว่าเขาทั้งสองคนใจตรงกัน
“ กูก็ชอบมึงไอ้ฟ่า”
END
.........................................................................
โอ๊ยยย!!! ปาดเหงื่อ
สารภาพตามตรงว่าแต่งฉากจูบฉาก NC ไม่เป็นจริงๆ ได้แค่นี้ก็บุญแล้ว หือๆๆๆ
เรื่องนี้ต้าแต่งไว้นานแล้ว แต่งก่อนจะสอบ เพราะเป็นคนที่ไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือสอบ
ก็เลยเอาเนื้อหาที่จะสอบมาแต่งนิยายซะ เพราะต้าชอบอ่านนิยายมาก 5555
มันก็เลยออกมาแบบแปลกๆ อิอิ
หวังว่าจะชอบกันเน้อ แฮร่