กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!
เสียงกรี๊ดของเด็กนักเรียนหญิงที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งฮอล์ได้ดังขึ้นเมื่อมีชายหนุ่มรูปงามปรากฏตัวขึ้นมาเพราะวันนี้จะมีการหาเสียงของตัวแทนนักเรียนแต่ละห้องที่ได้รับการคัดเลือกมาแล้วทั้งบุคลิก ท่าทางและน่าตาให้มาสมัครเป็นสภานักเรียนประจำปีการศึกษา2560โดยมีรุ่นพี่แบคฮยอนที่เป็นอดีตประธานนักเรียนเป็นคนจัดการเรื่องนี้แล้วยังมีรุ่นพี่จินที่เป็นรองประธานคอยควบคุม นอกจากจะมีรุ่นพี่เหล่านี้ที่มีดีกรีเป็นถึงประธานนักเรียนยังมีเหล่าเพื่อนๆของรุ่นพี่ที่มีดีไม่แพ้กันทั้งรุ่นพี่จองกุก รุ่นพี่จีมิน รุ่นพี่แทฮยอง รุ่นพี่ยุนกิ รุ่นพี่นัมจุล รุ่นพี่เจโฮป รุ่นพี่เหล่านี้จะทำหน้าที่เกี่ยวกับฝ่ายวิชาการซึ่งจะทำงานกับคณะครูโดยตรงส่วนรุ่นพี่ที่คอยจัดการทำงานเกี่ยวกับนักเรียนโดยตรงก็จะมี รุ่นพี่ชานยอล รุ่นพี่มินซอก รุ่นพี่จงแด รุ่นพี่จงอิน รุ่นพี่คยองซู รุ่นพี่เซฮุน รุ่นพี่ซูโฮ และรุ่นพี่เลย์ ซึ่งขอบอกเลยว่ารุ่นพี่แต่ละคนนอกจากเรียนเก่ง หน้าตาดีแล้วฐานะก็ใช่ย่อย เอาซะว่าถ้าไม่รวยจริงคงเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้ แต่ผิดกับผมที่หน้าตาก็พอปานกลางฐานะทางบ้านก็ไม่ถึงกับจนแต่ก็ไม่ได้รวยที่มาเรียนที่นี้ได้ก็เพราะสอบชิงทุนได้เลยมีโอกาสมาเรียนที่แห่งนี้
“ขอเสียงปรบมือให้กับ นายกันต์พิมุกต์ ภูวกุล นักเรียนชั้นม.5/7 ที่จะลงสมัครสภานักเรียนด้วยค่ะ”หะ ! ตาผมแล้วหรอ ผมที่ตกใจก็รีบขึ้นเวทีอย่างเร่งรีบจนพวกรุ่นพี่ต่างพาหันหัวเราะนิดหน่อยรวมทั้งพวกสาวๆด้วย..น่าขายหน้าชะมัด จริงๆผมก็ไม่ต้องการลงสมัครอะไรนี้หรอกแต่ไอ้ยูคมันบังคับเพราะถ้าผมลงสมัครแล้วเกิดได้ขึ้นมามันก็จะได้ใกล้ชิดกับเตนล์เพื่อนสนิทผมอีกคน เหอะ ! ไอ้นี้มันร้ายเพราะมันจะได้หาข้ออ้างมาหาผมที่ห้องสภานะสิเพราะว่าเตนล์เป็นเลขานักเรียนและเป็นนักเรียนชั้นม.5คนเดียวที่ได้เป็นสภาปี้นี้เลยยังไม่ปดเพราะมีข้อยกเว้นว่าถ้ามีรุ่นน้องที่ไม่ได้อยู่ม.6แล้วมาทำหน้าที่สภาถึงจะมีการเลือกตั้งใหม่ก็ยังคงทำหน้าที่เดิมต่อไปจนกว่าจะอยู่ม.6 แล้วมันไม่คิดบ้างหรือไงว่าถ้าผมไม่ได้เป็นขึ้นมาก็คงไม่มีโอกาสไปที่ห้องสภานอกซะจากจะทำผิดกฏบ่อยๆจนโดนพวกรุ่นพี่เรียกพบ หาเรื่องปวดหัวให้จริงๆเลย
“ขอเสียงปรบมือให้กับผู้สมัครคนสุดท้ายค่ะ มาร์ค ตวน นักเรียนชั้นม.6/8”
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!
ผมละอยากจะบ้าพวกนักเรียนหญิงจะกรี๊ดอะไรหนักหนาก็แค่...ผมก็หันหน้าไปหาไอ้คนที่ได้เสียงกรี๊ดมากที่สุดอยากจะรู้ว่า..เชี้ยยยย!! หล่อว่ะ อุ๊ป! ดวงตากลมโต ผิวที่ขาวราวหิมะร่างกายที่สูงไม่ผอมมากไม่หนามาก ผมที่ปะปลายที่ดวงตายิ่งทำให้มีเสน่ห์มาก...ไม่ไดนะแบมนายเป็นผู้ชายจะหลงผู้ชายด้วยกันไม่ได้ เหอะ! ก็แค่ไอ้คนขี้เก็กไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง พวกสาวๆนี้จะกรี๊ดไปถึงเมื่อไรคอยดูเถอะฉันจะให้สาวๆกรี๊ดฉันแทนนายให้ได้คอยดู
เมื่อทำการแนะนำตัวกันเสร็จนักเรียนทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเรียนตามห้อง ส่วนตัวผมก็ยืนกดโทรสับหาไอ้ยูคว่ามันไปอยู่ไหนผมไม่เห็นมันแต่เช้าแล้วไม่ใช่ว่ามัวไปหาเตนล์อยู่หรอกนะ ผมที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างเลยไม่ทันสังเกตว่ามีคนจ้องอยู่
“เชี้-” ผมสบทออกไปเกือบปิดปากไม่ทัน เพราะไอ้บ้าขี้เก็กมันจ้องหน้าผมอยู่น่ะสิ
“นะ นายทำบ้าไรเนี่ย”
“ก็จ้องหน้าคนที่หมั่นไส้ฉันอยู่นะสิ” นินายอ่านใจออกหรือไงถึงรู้ว่าคิดอะไร
“นายมั่วละ ใครหมั่นไส้นายกัน” ก็หมั่นไส้ที่ชอบทำตัวขี้เก็กต่อหนาพวกสาวๆน่ะสิ
“หรอ ตอนที่ฉันแนะนำตัวอยู่ฉันเห็นนายจ้องหน้าฉันเหมือนกับโกรธแค้นฉันอยู่ หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร” ผมเลิกคิ้วถามด้วยความสงสัย
“หรือว่าจะหลงในความหล่อของฉัน”
“หะ ! นายว่าไรนะพูดใหม่อีกทีสิ 5555 นายหลงตัวเองไปหรือเปล่าฉันน่ะนะจะหลงความหล่อของนายไม่มีวัน!” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งขำคนอะไรหลงตัวเองเป็นบ้าอย่าคิดว่าพวกสาวๆกรี๊ดกร๊าดกันแล้วผมจะกรี๊ดตามไม่มีวันนั้นหรอก
“’งั้นเรามาพนันกันไหมละ” คิดจะทำไรของนายอยู่ เหอะก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
“ก็เอาสิ”
“การเลือกตั้งครั้งนี้ถ้าใครแพ้ต้องทำตามคำสั่งผู้ชนะทุกอย่าง” มั่นใจไปหน่อยไหมครับคุณมาร์ค ตวน คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะชนะงั้นซิ เหอะ หลงตัวเองเป็นบ้า
“ได้! ฉันตกลง นายเตรียมตัวแพ้ได้เลย” เพราะฉันจะต้องเป็นคนชนะในการเลือกตั้งในครั้งนี้
เวลาสองสัปห์ดาที่ผ่านก็มีการหาเสียงอยู่เป็นประจำทั้งประกาศผ่านเสียงตามสายทั้งเข้าไปแนะนำตัวกับน้องๆในแต่ละห้องซึ่งการแข่งกันครั้งนี้ผมไม่หวังต้องการเป็นสภาหรอกแค่มีคะแนนเสียงมากกว่านายมาร์คจอมขี้เก็กก็พอ นั้นก็ถือว่าผมชนะแล้ว ตอนนี้ก็เป็นเวลาเปิดหีบแล้วรุ่นพี่ที่ตอนนี้กำลังจะเป็นอดีตสภานักเรียนก็ได้มาทำหน้าที่ครั้งสุดท้ายโดยการขานคะแนนเสียง ซึงตอนนี้ผมลุ้นมากกับคะแนนเสียงของผม ผมไม่สนใจคะแนนเสียงของพรรคอื่นที่ลงสมัครเลย สนใจก็แต่คะแนนเสียงพรรคของผมกับพรรคของไอ้ขี้เก็กซึ่งตอนนี้คะแนนก็สูสีกันมาก ผมก็ลองมองไปยังทางพรรคของมาร์คซึ่งดูเหมือนจะสบายใจกันจริงต่างจากผมที่ดูลนลานจนแทบไม่เป็นสุข
“ขอแสดงความยินดีกับพรรคของนักเรียนชั้นม.5/8ด้วยค่ะที่ได้เป็นสภานักเรียนในปีนี้ขอให้ประธานนักเรียนคนใหม่กล่าวความรู้สึกหน่อยค่ะ” ครูก็ได้ยื่นไมค์ให้กับประธาน...ไอ้ขี้เก็กเป็นประธานหรอเนี่ยเหอะ! น่าเจ็บใจชะมัดทำไมต้องมีไอ้ขี้เก็กมาบริหารโรงเรียนด้วยโรงเรียนคงล่มจมพอดี
“ขอบคุณทุกคะแนนเสียงของทุกคนนะครับที่ไว้ใจผมให้มาทำงานเพื่อโรงเรียนผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ ขอบคุณครับ” แหวะ อยากจะอวกทำเป็นพูดดีไปเถอะไอ้ขี้เก็ก เมื่อผมรู้ผลแพ้ชนะแล้วก็เลยเดินออกมาจากฝูงชนเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำแล้วเตรียมตัวกับบ้านวันนี้ต้องรีบกลับเพราะแม่ไม่อยู่บ้านด้วย ผมที่กำลังก้มหน้าก้มตาล้างมือพอเงยหน้ามาเป็นต้องตกใจ
“เห้ยยยย!! นาย”
“ไง !” เสียงทักทายที่ดูสบายใจนั้นมันผิดกับผมที่ดูทุกข์ใจเพราะผู้ชายคนนี้มันดูมีความน่ากลัวซ้อนอยู่ ผมก็รีบล้างมือแล้วจะออกจากห้องน้ำแต่ก็ออกไปไม่ได้เพราะถูกเรียวแขนยาวเหยียดไปบังที่ประตู
“หวังว่านายคงไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้นะเพราะถ้าไม่อย่างนั้น...” แล้วนายจะขยับหน้ามาใกล้ฉันทำไมเนี่ย
“….”
“เพราะถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะถือว่านายไม่ใช่ลูกผู้ชายที่ไม่รักษาคำพูด” พอได้ยินแบบนั้นขึ้นเลยครับ อารมณ์ผมปรี๊ดปร๊าดเลยครับ ลูกผู้ชายฆ่าได้แต่หยามไม่ได้มีหรือที่ผมจะยอมให้ไอ้ขี้เก็กมาต่อว่าผมหาว่าผมไม่รักษาสัญญา
“นายจะให้ฉันทำอะไรนายก็ว่ามา” ผมก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ติดจะโมโห
“อืมม..วันนี้ก็เย็นมากแล้วฉันก็หิวๆแล้วด้วยงั้นไปหาอะไรกินกัน” แค่เนี่ยะ! โธ่คิดว่าจะให้ไปลุยน้ำลุยไฟที่ไหนถ้าแค่นี้ก็สบายมาก เสียงหัวเราะในลำคอยังไม่ทันหายก็ต้องหยุดชะงัก
“แต่ไปกินที่บ้านนายนะ” หะ!! นายกล้าดียังไงขนาดไอ้ยูคที่ว่าสนิทกับผมมันยังไม่กล้าขอผมไปบ้านเลย เพราะผมเป็นคนประเภทไม่ชอบให้ใครมาที่บ้านถ้าไม่จำเป็นแต่นี้นายเป็นใครกันถึงกับจะขอกินข้าวที่บ้าน
“ไม่ได้!” ผมก็ตอบเสียงแข็งไป
“ทำไมจะไม่ได้” ยังมีหน้ามาถามอีก
“ไม่ได้ก็คือไม่ได้ไง” ผมก็ยังคงทำเสียงแข็งตอบไปแต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่ยอมแต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นมา มีแผนอะไรอีกละ คราวนี้คนตรงหน้าได้ขยับเข้าใกล้ผมเรื่อยๆจนทำให้ผมต้องขยับถอยหลังจนไปติดที่กำแพง
“ถ้าไม่ให้ไปกินข้าวที่บ้าน..งั้นฉันกินนายแทนแล้วกัน” ว่าแล้วเชียวต้องมีแผนอะไรแน่ แต่แผนแบบนี้มันจะโหดร้ายไปไหม ไอ้บ้าขี้เก็กนายเอาหน้าของนายออกไปเลยนะ ผมก็ขัดขืนแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะผมดันเกิดมาตัวเล็ก ผมที่ทำอะไรไม่ได้ก็ได้แต่หลับตาปี๋แล้วเผลอพูดตอบตกลงไป
“เมื่อกี้นายพูดว่าไรนะ”
“ให้ไปก็ได้ บ้านฉันน่ะให้ไปก็ได้”
“หึ ก็แค่นี้แหละ ไปๆๆกลับกันดีกว่าฉันหิวจะแย่ละ” ไอ้บ้า!ฉันจะด่านายยังไงดีชอบทำตัวเองเป็นใหญ่คิดอยากได้อะไรก็ต้องได้งั้นซิเหอะ! แบมเอ้ยไม่น่าไปหลวมตัวตบปากรับคำท้าของไอ้บ้าขี้เก็กนี้เลย
ผมก็ขึ้นรถยนต์คันหรูที่ดูราคาแล้วผมไม่มีทางซื้อมันได้แน่นอนแต่ผมก็มีโอกาสได้นั่งมันเพราะนี้คือรถของมาร์ค ไอ้คนขี้เก็กที่ตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปยังบ้านของผม เมื่อถึงบ้านของผมแล้วผมก็จัดแจงวางกระเป๋าลงแล้วเข้าไปในครัวเพื่อที่จะทำกับข้าวให้คุณชายตวนเขารับประทาน สรุปก็คือรีบกินจะได้รีบกลับ ผมก็เปิดตู้เย็นเพื่อนำหมูกับผักมาหันเมนูวันนี้เป็นกับข้าวที่ง่ายๆก็คือต้มจืดหมูฝักก็ทำไปทำมาจนมีแขกที่ไม่อยากจะให้มาเท่าไรก็เข้ามา
“นายทำอะไรอ่ะ” ตากผ้ามั้งถามได้
“ก็หั่นหมู หันผักไงถามได้” คนฟังเหมือนดูตื่นเต้นที่เห็นผมทำอะไรอย่างนี้
“ขอฉันลองทำบ้างซิ อยากทำมานานแล้ว” อยากทำมานานทำไมไม่ทำละ ผมก็วางมีดลงแล้วดูคุณชายจอมขี้เก็กหั่นผัก แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่รอดผมเลยเข้าไปช่วยทำให้ดูเป็นตัวอย่างหลังจากนั้นก็ปล่อยให้ทำเอง
“โอ้ย!” ได้เรื่องแล้วไหมละสงสัยจะหล่อแต่หน้าแต่เรื่องงานบ้านกลับไม่ได้เรื่อง ตอนนี้มันจะลำบากใครละถ้าไม่ใช่ผม
“วางๆมีดลงเลยเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง” ก่อนจะจัดการเรื่องกับข้าวผมก็ต้องละมือจากการทำอาหารมาทำแผลให้มาร์คก่อน ผมก็ไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาแล้วทำการล้างแผลแล้วเอาผ้ามาพันไว้
“เข้าลึกเหมือนกันนะเนี่ย โตจะตายละทำไมไม่รู้จักระวัง” พอผมบ่นหน่อยคนฟังเหมือนกับหน้าจ๋อยไปเลยความขี้เก็กที่ชอบทำหน้านิ่งเวลาอยู่ต่อหน้าสาวๆจนผมอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้ในตอนนี้เหมือนกับเด็กหนุ่มธรรมดาที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไรเลย
“ก็นี้มันเป็นครั้งแรกนิที่ฉันจับของมีคมพวกนี้” หะ ครั้งแรก แล้วตลอดเวลาที่ผ่านใครหุงหาทำกับข้าวให้นายกินเนี่ย
“นายไม่เคยเลยหรอ” ผมก็ถามออกไปด้วยความสงสัย
“จริงๆฉันก็อยากทำ แต่พ่อกับแม่ไม่ให้แตะของมีคมพวกนี้เลยงานบ้านทุกอย่างก็มีพวกแม่บ้านคอยทำให้ตลอด ฉันเบื่อมากที่ต้องมาใช้ชีวิตแบบคุณหนูแบบนี้ฉันอยากใช้ชีวิตธรรมดาๆแบบนาย” เมื่อผมฟังความในใจของมาร์คผมก็เกิดความรู้สึกเห็นใจอยู่เหมือนกันถึงจะรวยล้นฟ้ายังไงแต่ถ้าไม่ได้ทำตามใจตัวเองมันดูขัดใจดูเหมือนว่ามาร์คในตอนนี้ไม่มีความขี้เก็กอยู่เลยหรือผมต้องมองมาร์คใหม่ซะแล้ว
“นิ แบมถ้าฉันอยากจะขอให้นายช่วยสอนฉันทำกับข้าวหน่อยได้ไหม”
“ได้นะ ! แต่ต้องมีข้อแม้”
“…..”
“นายจะต้องเชื่อฟังฉันทุกอย่าง..ตกลงไหม”
“อื้มม! ตกลง”
แปลกนะ ในตอนแรกตอนที่เรายังไม่รู้จักตัวตนลึกๆข้างในเขาแต่เรากลับไปตัดสินเขาว่าเขาไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้บ้างแต่พอลองเปิดใจเรากลับเห็นอกเห็นใจโดยที่ลืมเรื่องราวร้ายๆที่เราเคยต่อว่าเขาอย่างหมดสิ้น
ในเย็นวันนั้นมาร์คก็ได้ขอตัวกลับก่อนแล้วจะมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ผมก็เตรียมตัวอาบน้ำเพื่อที่จะทำการบ้านแล้วเข้านอนเพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนแต่เช้า
เช้าอีกวันมาถึงผมก็รีบมาโรงเรียนนี้ผมก็รีบมาสุดๆแล้วนะแต่ก็ยังไม่ทันเข้าแถวอยู่ดี เป็นเพราะไอ้นาฬิกานั้นแหละที่ไม่ยอมปลุกผมเลยต้องรีบขนาดนี้ไงละ แต่สุดท้ายผมก็ไม่พ้นเหล่าสายตาก็ฝ่ายปกครองที่มายืนคอยเด็กนักเรียนที่มาสายรวมถึงสภาชุดใหม่ด้วยหนึ่งในนั้นก็มีมาร์คประธานนักเรียนคนใหม่ประจำปีการศึกษานี้ วันนี้มาร์คก็ดูดีดูเท่เป็นปกติสาวๆเห็นเป็นต้องกรี๊ด แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำหน้านิ่งเย็นชาขนาดนั้นด้วยผมเห็นแล้วหงุดหงิด
“วันนี้ครูขอมอบหน้าที่นี้ให้กับสภานักเรียนจัดการก็แล้วกัน” เมื่อครูพูดจบก็หันหน้าไปกระซิบกระซาบกับมาร์คจนมาร์คพยักหน้าเพื่ออันอันเข้าใจ
“นักเรียนที่มาสายในวันนี้ผมขอสั่งให้พวกคุณวิดพื้น20ครั้ง” เมื่อสิ้นคำสั่งผมก็ทำตามไปโดยอดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าทำไมมาร์คต้องทำหน้าเย็นชาแบบนั้นมันดูน่ากลัวจนผมไม่กล้าที่จะเข้าไปเถียงเลย วิดพื้นเสร็จผมก็ลุกเพื่อไปยังห้องแต่ก็ถูกมาร์คเรียกตัวไว้
“แบม..นายตามฉันไปที่ห้องสภาด้วยฉันมีเรื่องจะคุยกับนายส่วนคนอื่นแยกย้ายได้” ทำไมต้องเป็นเราด้วยเนี่ยไอ้ประธานจอมเก็กเอ้ยคิดว่ามีอำนาจแล้วจะทำอะไรก็ได้หรอ ในเมื่อผมทำอะไรไม่ได้ก็ต้องเดินตามหลังไปเมื่อถึงห้องสภามาร์คก็นั่งลงตรงเก้าอี้ที่มันมีไว้สำหรับประธานนักเรียนส่วนผมก็ยืนเพื่อรอฟังว่ามีเรื่องอะไรจะคุย
“นายมีเรื่องอะไรก็รีบพูดมาฉันจะได้รีบไปเรียน”
“ทำไมวันนี้นานมาสาย” เป็นผู้ปกครองฉันหรือไงถึงถามเนี่ย
“ก็ตื่นสายก็เลยมาสาย” ผมก็ตอบหน้าตายออกไป จนคนตรงหน้าที่นั่งอยู่ถึงกับเอามือทุบโต๊ะอย่างดังแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว เป็นอะไรของนายเนี่ยไม่ได้กินข้าวเช้ามาหรือไงถึงได้โมโห
“ดูผลของการมาสายสิเห็นไหมว่านายต้องโดนทำโทษฉันไม่อยากสั่งทำโทษนายเพราะนายคือคนที่ฉัน....” ผมก็รอฟังคำตอบจากปากของมาร์คว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร
“อะไร?” มาร์คไม่ยอมตอบมีหรือที่คนอย่างแบมจะไม่คาดคั้น ผมก็จ้องตาคนตรงหน้าอย่างไม่ละสายตามาร์คถึงกับยอมหลบสายตาของผมก่อนที่จะบอก
“เพราะนายคือคนที่ฉันคิดว่าสามารถเป็นเพื่อนกับฉันได้ ฉันไม่อยากจะสั่งทำโทษเพื่อนฉันหรอกนะโดยเฉพาะนาย..แบม” ผมสำคัญขนาดนั้นเลย 5555 คิดแล้วก็ขำคนอะไรรวยก็รวยหน้าตาก็ดีทำไมต้องอยากจะมาเป็นเพื่อนกับผมด้วยตัวผมน่ะไม่มีอะไรดีเลยจนก็จนไม่เคยมีใครอยากยุ่งกับนักเรียนที่สอบชิงทุนมาได้หรอกเพราะมันบ่งบอกถึงฐานะว่าไม่สามารถเข้าเรียนที่นี้ได้โดยใช้เงินส่วนตัว แต่นายกลับอยากจะมาเป็นเพื่อนกับฉัน ตลกสิ้นดี
“นายบ้าหรือเปล่ามาร์ค ไม่มีใครอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันหรอกเพราะฉันมันจนไงใครที่ไหนอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันนายก็มีเพื่อนเยอะแยะนิแถมมีสาวมๆมารุมล้อมอีก” ก็มันจริงนิที่ผมมีไอ้ยูคกับเตนล์เป็นเพื่อนได้เพราะเราสามคนรู้จักกันตั้งแต่เด็กๆแต่ไอ้ยูคพึ่งรู้จักกับเตนล์ได้แค่ไม่กี่ปีแต่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว
“เพราะนายไม่เหมือนใคร เพราะนายเป็นตัวของตัวเอง เพราะนายรับปากว่าจะสอนทำกับข้าวฉันเลยอยากเป็นเพื่อนกับนาย” ผมสงสัยจังชีวิตลูกคนรวยมันไม่มีความสุขหรอเพราะดูมาร์คเหมือนจะไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตนมีซักเท่าไหร่แต่กลับไขว้คว้าหาในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากจะได้นั้นก็คือชีวิตที่ลำบากชีวิตที่หาเช้ากินค่ำแบบครอบครัวของผม นายเป็นคนยังไงกันแน่มาร์คต่อหน้าผู้คนมากมายนายกลับทำหน้าตายทำกับว่านายไม่สนใครหน้าไหนทั้งไหนแต่พอมาอยู่กับฉันนายกลับทำหน้าตาหม่นหมองเหมือนนายไม่มีความสุข
“เรื่องที่นายจะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม งั้นฉันขอตัวกลับ” เมื่อหันหลังจะเดินออกจากห้องแต่ผมก็ได้ยินเสียงไล่ตามหลังมา
“แบม..เย็นนี้ขอไปทำกับข้าวบ้านนายอีกนะ” ผมก็ไม่ตอบอะไรก็เดินไปเข้าห้องเรียนแล้วนั่งเรียนตามปกติเมื่อตกตอนเย็นหลังจากเลิกเรียนผมก็เดินกลับบ้านตามปกติจนได้ยินเสียงบีบแตรตามท้ายแล้วได้เปิดกระจกลง
“แบม..ทำไมนายไม่รอฉันฉันบอกว่าจะไปทำกับข้าวบ้านนายไง”
“ใครอนุญาต อยากทำนักก็ไปทำบ้านตัวเองซิ” ผมก็รีบเดินโดยไม่สนใจแต่มาร์คก็ตามบีบแตรไม่เลิกจนผมชักจะอายคนรอบข้าง
“นายหยุดบีบแตรซักที”
“งั้นนายก็ขึ้นรถมากับฉัน”
“ไม่..ฉันจะเดินกลับ” รำคาญๆๆ ทำไมชีวิตของผมต้องมาเจอไอ้มาร์คจอมขี้เก็กด้วย
ปริ๊นนนนนนน ๆๆๆๆๆ เสียงแตรที่ดังสนั่นจนทำให้เป็นจุดสนใจสายตาหลายคู่ต่างจับจ้องมายังผม โอ้ย..อายชิบ
“หยุดซักที”
“ถ้านายไม่ขึ้นมาฉันก็จะบีบอย่างนี้แหละ” เมื่อมาร์คพูดจบเขาก็ทำอย่างที่ปากบอกจริงๆ ครับๆๆเอาเข้าไปบีบให้แตรมันพังไปเลย
“โอเคร..ขึ้นแล้วๆ” ทำไงได้ละถ้าไม่ขึ้นรถก็เหมือนที่เห็นแคร์ใครซะที่ไหนละ เหอะ!! พอถึงบ้านผมก็เก็บกระเป๋าเข้าที่แต่ดูเหมือนมาร์คจะตื่นเต้นที่จะได้เข้าห้องครัวอีกครั้ง..แหม่สมกับเป็นคุณชายตระกูลตวนจริงๆเกิดมาก็ไม่เคยจับของมีคมจะทำไรก็เรียกใช้พ่อบ้านแม่บ้านตลอดโชคยังดีที่ไม่เป็นหงอยซะก่อน
“เอาละๆ เลิกทำหน้าอย่างกับเด็กเห็นขนมได้ละ วันนี้ฉันจะสอนเมนูง่ายๆที่เด็กอนุบาลก็ทำได้ก็แล้วกัน” คนฟังยิ่งดูตื่นเต้นไปใหญ่เห็นแล้วก็แอบน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย..คุณชายผู้ที่ไม่เคยทำอะไรเลยในชีวิตนอกจากหน้าตาดีไปวันๆวันนี้จะได้จับตะหลิวจับกระทะเป็นครั้งแรกท่าทางเหมือนเด็กที่พึ่งจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
“วันนี้จะทำเมนู...ไข่” อย่าพึ่งหัวเราะครับคุณผู้อ่านเห็นว่าเป็นไข่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆนะ เพราะผมต้องใช้เวลาฝึกฝนหลายปีที่จะทอดไข่ไม่ให้มันไหม้... อิอิเอาเข้าจริงๆผมก็ทำเมนูไข่ทอดดีที่สุดดีกว่าทุกเมนูที่ผมทำมานั้นแหละรับรองฝีมือติดอันดับท๊อปทรีแน่นอน
“อันดับแรกทุกครั้งที่นายจะทำอาหารนายต้องล้างมือก่อน” ผมก็ทำท่าล้างมือให้ดู รู้สึกเหมือนทำให้เด็กดูเลยแฮะผมก็ล้างๆปากก็อธิบายไปด้วยว่าล้างยังให้สะอาด แต่พูดไปเหมือนเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแค่ล้างมือก็ยังล้างไม่ถูกวิธีเลย
“ล้างแบบนี้มันจะไปสะอาดได้ไงมันต้องล้างแบบนี้” ผมก็ทำท่าล้างให้ดูอีกครั้งแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่ถูกผมเลยคว้ามือของมาร์คมาล้างเป็นตัวอย่างว่าต้องล้างแบบนี้ ผมก็สอนจนเสร็จแล้วเงยหน้าจากอ่างล้างมือเพื่อมากำชับบอกอีกครั้งว่าควรล้างแบบไหนแต่ก็ต้องหยุดเพราะใบหน้าของมาร์คที่ผมไม่รู้จ้องผมตั้งแต่เมื่อไรเกือบจะชิดกันจนผมต้องรีบผละออกแล้วเดินไปยังตู้เย็นเพื่อไปเอาไข่ ผมก็สอนมาร์คในการทำไข่ทอดทุกขั้นตอนช่วงแรกๆก็จะดูขัดๆหน่อยแต่พอหลังๆเริ่มคล่องผมเลยลองให้มาร์คทำเองคนเดียวโดยที่ไม่มีผมคอยบอก
“แบม ! แบม ! แบมแบม นายดูฉันทำได้แล้ว ไข่ของฉันไม่ไหม้แล้ว” เด็กชายมาร์คตวนที่กระโดดโลดเต้นดีใจที่การทำเมนูไข่ของเขาไม่ไหม้ ผมไม่รู้ว่าเขาดีใจขนาดไหนถึงได้มากระโดดกอดผมแบบนี้ แฮก แฮก หายใจไม่ออกนายจะกอดแน่นไปแล้ว
“มาร์คๆๆ นายปล่อยฉันได้แล้วฉันหายใจไม่ออก”
“ขอโทษทีแบมฉันดีใจไปหน่อย ก็นี้เป็นเมนูแรกที่ฉันทำได้นิ” โธ่ ! ช่างไร้เดียงสาอะไรเช่นนี้ หรือจริงแล้วตัวตนของนายจะเป็นคนอ่อนโยนกันนะ เย็นวันนั้นเราก็กินฝีมือไข่ทอดของมาร์คจนอิ่มแล้วมาร์คก็ขอตัวกลับบ้านโดยก่อนกลับมาร์คก็บอกว่าจะขอมาทำอาหารอีกผมก็ตอบตกลงไป
ในทุกๆวันมาร์คก็จะมาทำอาหารที่บ้านผมบางวันก็ทำเมนูผัด แกง ต้ม ทอด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปตอนแรกเราทั้งสองคนที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่แต่ตอนนี้กลับสนิทกันตั้งแต่ตอนไหนผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน สนิทเกินไปจนผมได้ยินอะไรที่มันไม่ค่อยเข้าหูเท่าไหร่
“ดูซิเธอ พี่มาร์คเขาไปสนิทสนมกับเด็กจนๆอย่างแบมได้ไง”
“เธอๆเด็กนี้ช่างกล้าเนาะที่มาตีสนิทกับน้องมาร์คของฉัน”
“เป็นถึงสภานักเรียนทำไมต้องมายุ่งกับคนอย่างแบมก็ไม่รู้เหม็นความจน"
สารพัดคำดูถูกทีผมต้องมารับรู้มันทำให้ผมรู้สึกเฟลไปเหมือนกันเฮ้อ! ผมไม่น่าไปสนิทกับมาร์คจริงๆนั้นแหล่ะ เย็นวันนั้นผมก็เดิน
กลับบ้านตามปกติแต่ที่ไม่ปกติก็คือจิตใจของผมที่วันนี้มันกลับเศร้าหมองกว่าทุกวัน
ปริ้นนนนนๆๆๆ เสียงแตรที่ดังขึ้นเสียงแบบนี้คงไม่พ้นรถคันหรูที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยขึ้นไปนั่ง..มาร์ค
“แบม!!กลับบ้านกันวันนี้ฉันอยากทำแกงเขียวหวานนายช่วยสอนฉันหน่อยนะ”ผมก็ยังคงเดินไปตามทางโดยไม่สนคำพูดของมาร์ค
“นายเป็นไรอ่ะแบม ปะ กลับบ้านกัน”
“มาร์คนายเลิกยุ่งกับฉันซักที” พูดจบผมก็รีบวิ่งไปแต่ก็รู้สึกเหมือนมีคนวิ่งตามมาแล้วมาคว้าแขนผมไว้
“แบมนายเป็นไร”
“ปล่อย ! “ ผมก็ยังทำเสียงแข็งตอบไปแต่สะบัดเท่าไหร่ก็ไม่ออกยิ่งผมดิ้นมาร์คก็ยิ่งจับแน่นขึ้น
“ขอโทษนะแบมที่ต้องทำแบบนี้ เพราะงั้นนายคงไม่ยอมไปกับฉันแน่” พูดจบมาร์คก็ได้อุ้มแบมพาดไหล่โดยที่แบมก็ดิ้นไม่หยุดเมื่อ
ถึงรถมาร์คก็จับแบมทุ่มไปยังเบาะนั่งแล้วปิดประตูใส่แล้วมุ่งหน้าไปยังบ้านของแบมตลอดทางพอมาร์คถามแบมว่าเป็นอะไรแต่ก็
ไม่ได้คำตอบเพราะแบมเอาแต่เงียบเมื่อถึงบ้านแบมก็เดินดิ่งๆเพื่อจะไปให้พ้นจากหน้ามาร์คโดยการจะไปหลบที่ห้องแต่ก็สายไป
เพราะมาร์คไวกว่าแบมที่กำลังปิดประตูห้องแต่ก็ปิดไม่ได้เพราะมาร์คใช้มือดันประตูแล้วแทรกตัวเองเข้าไปยังห้องของแบม
“นายออกไปเลยนะมาร์คจะเข้ามาทำไม”
“เหมือนนายดำลังหลบหน้าฉัน”
“ไม่ได้หลบ” ตอนนี้ผมก็กำลังหลบจริงๆนั้นแหละ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปสนคำพูดของคนพวกนั้นด้วย ผมไม่มีสิทธิ์ที่
จะสนิทกับมาร์คเลยหรือไง
“แต่นายกำลังหลบอยู่นะรู้ตัวหรือเปล่า” เสียงที่อ่อนโยนพร้อมกับมือที่มาจับคางแบมให้หันหน้าไปมองมาร์คอย่างซึ้งๆหน้าโดยหารู้
ไม่ว่าตอนนี้หน้าของคนที่ตัวเล็กกว่ากำลังเห่อแดง
“ปล่อนนะมาร์ค” แบมก็หันหลบอีกรอบแต่ก็ยังโดนมาร์คใช้มือให้หันกลับไป ตัวมาร์คตอนนี้ก็กำลังเดินหน้าเรื่อยๆจนแบมต้อง
ค่อยๆเดินถอยหลังออกมาจนไปสะดุดล้มพับอยู่บนเตียง..สถานการณ์ตอนนี้มันดูล่อแหลมยิ่งนักผมต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว เมื่อคิด
ได้ผมก็จะลุกออกแต่ก็โดนมาร์คผลักออกไม่ให้ผมลุกออกจนสภาพตอนนี้ผมต้องนอนแผ่หล่าบนเตียงโดยมีมาร์คที่คอยคุมเชิงอยู่
ข้างบน
“ที่ฉันมาตีสนิทกับนายที่บอกว่าอยากเป็นเพื่อนนายนั้นมันก็เป็นเรื่องจริงแต่มันก็แค่ส่วนหนึ่งจริงๆแล้วที่ฉันอยากตีสนิทกับนาย
เพราะฉันอยากอยู่ใกล้ๆนาย เพราะนายคือคนที่ฉันต้องการเป็นมากกว่าเพื่อน”
เดี๋ยวๆๆน่ะๆๆ นี้มันอะไรกัน งงสิครับ อะไรกันอยู่ๆก็เหมือนกับว่าโดนสารภาพรักซะอย่างนั้นแล้วนายรู้สึก
แบบนี้กับฉันตั้งแต่เมื่อไรกัน
“เดี๋ยวนะมาร์ค นายพูดอะไรของนาย”
“นายคงจะลืมสัญญาที่เราเคยให้กันไปแล้วซินะ” สัญญา? สัญญาอะไรฉันไปให้สัญญากับนายตั้งแต่ตอนไหนเราเคยรู้จักกันด้วยหรอ
“เราเคยรู้จักกันด้วยหรอ ไม่ใช่ว่าเราพึ่งมารู้จักกันไม่ใช่หรอ”
“รู้จักซิ รู้จักกันดีเลยละ แต่นายคงจะลืมไปแล้วจริงๆ”
“เรารู้จักกันตอนไหน”
“มัคมัคเราสัญญาๆกันว่าโตไปเราจะต้องแต่งงานกันนะมัคมัคสัญญากับบัมบัมจ้วย”
เมื่อผมฟังคำพูดนี้ที่ดูคุ้นหูก็ต้องตกใจเพราะคับคล้ายคับคาว่าจะเคยพูดที่ไหน กับใครมาก่อน
“ฉันมารักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนายแล้วนะ” ไม่ทันที่ผมจะได้ถามไถ่ต่อปากของมาร์คได้มาประทับบดขยี้ปากผมจนมันบวมเป่ง
คิดว่าทำแบบนี้แล้วผมจะไม่ขัดหรอคิดผิดแล้วผมดิ้นสุดกำลังของผมที่มีทั้งหมดแต่ดิ้นไปก็เท่านั้นเพราะมาร์คไม่ยอมหยุดแถมมือก็
ยังลื่นยังกับปลาไหลที่มันกำลังซุกไซร์ไปยังใต้เสื้อผ้าปากก็บดขยี้มือก็ไปสะกิดยังเนินออกของผมจนมันให้ความรู้สึกเสียวไปทั้ง
ร่างกายใบหน้าก็เลื่อนต่ำลงมายังซอกคอคราวนี้มาร์คใช้ปากทำรอยรักรอบๆต้นคอจนมันเกิดรอบแดงเต็มไปหมดส่วนมือหนาก็ละ
จากเนินอกมายังบริเวณด้านล่างจนตอนนี้งูน้อยผมมันรู้สึกคับแน่นกางเกงไปหมด
“จำได้หรือยังบัมบัมของมัคมัค” หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเพราะมันไม่มีสติที่จะรับรู้อะไรได้อีกแล้ว อย่าเล่นตรงนั้นมัน
เสียวไปหมดแล้ว แต่มาร์คก็ยังไม่ยอมหยุดจนในที่สุดงูน้อยของผมก็ได้พ้นพิษออกมาจนเลอะหน้าขาของผมและมือของคนที่ทำ
“ออกมาเยอะเลยนะบัมบัม ทำให้มัคมัคบ้างซิอย่าโกงอยู่คนเดียวดูซิเข้น้อยมันขยายใหญ่แล้วนะ” ไอ้เด็กน้อยที่ดูไร้เดียงสาที่มันทำ
กับข้าวไม่เป็นมันไปอยู่ไหนแล้ว ตอนนี้มีแต่ไอ้คนที่มีแต่ราคะได้โปรดนำมันออกไปที มาร์คเห็นว่าผมไม่ทำให้ก็เอามือของผมไป
จับที่เข้น้อยที่ตอนนี้มันไม่น้อยแล้ว
“ทำบ้าไรของนายเนี่ย’
“ก็ทำอย่างที่ฉันทำให้นายไง มันรู้สึกสบายตัวใช่ไหมละ แต่ตอนนี้ฉันไม่สบายตัวเลยถ้ามันยังไม่ปลดปล่อย
มันทรมานนะบัมบัมต้องช่วยมัคมัคเลย” หยุดเรียกแบบนี้ซักที แต่มันก็สบายตัวจริงๆแหละ ผมก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไรที่จะทำมันก็
เลยตัดสินใจไปช่วยเข้น้อยของมาร์คจนสักพักมันก็ได้ปล่อยน้ำออกมามันไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่เพราะในเมื่อถึงขั้นนี้แล้วคิดว่าจะหยุด
อยู่แค่นี้คงต้องกระอักตายแน่ๆและเราทั้งสองก็...
#ตัดเข้าโคมไฟ
เมื่อเราทั้งสองทำกันเสร็จผมที่ยังคาใจเรื่องที่ผมไปรู้จักกับมาร์คตอนไหนก็ได้ไปถามมาร์คในที่สุดก็ได้คำตอบว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆ
ประมาณสองถึงสามขวบม้างที่เราได้อยู่บ้านข้างๆกันในทุกๆเย็นพ่อกับแม่ก็จับเรามานั่งเล่นดินทรายไม่บ้านผมก็บ้านของมาร์ค
เนื่องจากตอนที่เราสนิทกันมากๆมันก็อาจจะมีคำพูดของเด็กที่อาจพูดไปโดยไม่ทันคิดก็อย่างที่มาร์คบอกนั้นแหละว่าจะแต่งงานกัน
เมื่อพ่อกับแม่ได้ยินก็พากันหัวเราะแล้วก็ตกลงปลงใจกันว่าถ้าเรียนจบมีงานทำกันแล้วจะให้แต่งกันจนประมาณเราได้ห้าขวบมาร์ค
ต้องย้ายไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่นั้นผมกับมาร์คก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยจนกระทั้งม.5ผมก็ได้ข่าวอยู่ หรอกว่ามีนักเรียนเข้ามาใหม่แต่ก็
ไม่ได้สนใจเพราะอยู่คนละห้องกันแต่ที่น่าเจ็บใจก็คือมาร์คจำผมได้แต่ผมกลับจำมาร์คไม่ได้ แล้วตอนนี้เราสองคนก็ยัง....นั้นแหละ
กันอีก โอ้ยแบมเอ้ยทำไงดีเนี่ย ผมควรทำตัวยังไง
“แบมนายไม่ต้องกังวลหรอก ฉันจะรับผิดชอบนายเอง”
“เรื่องนั้นก็แหง๋อยู่แล้วแต่ถ้าพ่อกับแม่รู้ละ”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องท่านทั้งสองหรอก ฉันโทร.บอกท่านแล้วว่าตั้งแต่วันนี้ฉันจะย้ายมาอยู่กับนาย”
“โอ้ยบ้าบอกันไปใหญ่...แล้วเพื่อนที่โรงเรียนถ้าคนอื่นรู้ว่านายมาสนิทกับฉันมีหวังฉันคงโดนนินทราสาม
วันเจ็ดวันที่กล้ามาตีตัวสนิทกับนาย”
“เรื่องที่โรงเรียนนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเพราะนายไม่ได้สนิทกับฉันในฐานะเพื่อน" ก็คงงั้นแหละก็เราไม่ได้เป็นไรกันนิ
"แต่นายเป็นหวานใจของฉัน” หาาาาาาาาาาาาาาาาาว่าไรนะะะะะะะ????
“นายนิมัน” เมื่อสิ้นเสียง-ของแบมมาร์คก็เข้ามากอดและทำการประกบปากอีกครั้งแล้วคืนนั้นทั้งคืนเราก็ไม่ได้หยุดกัน
เลยจนถึงเช้า...เหนื่อยชะมัด!!!