=====[ ทยุชาติ ]=====
7
ตอน
3.25K
เข้าชม
38
ถูกใจ
13
ความคิดเห็น
17
เพิ่มลงคลัง

ทยุชาติ

 

บทที่ ๑ ...

 

 

 

ผู้คนที่เบียดเสียดอยู่ที่นี่ไม่ได้ทำให้ผมอึดอัดแต่อย่างใด แต่ถ้าได้ออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างก็คงจะดีกว่านี้ ผมค่อยๆ ขยับกายฝ่าฝูงชนออกมาก่อนจะก้าวเท้าออกไปยังระเบียงด้านข้างที่มีบ่อปลาอยู่ เสียงเพลงยังคงดังลอดผ่านประตูกระจกออกมา มือหนาแตะลงที่บ่าผมพร้อมกับเสียงที่คุ้นหู

 

"ไง ... หนีมายืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้วะไอ้ภัทร" ผมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะเอามือตบที่ว่างข้างๆ ตัวให้อีกฝ่ายลงมานั่งคุยกัน

 

"คดีไอ้เขมยังไม่คืบหน้าเลยว่ะ นี่กูตามสืบมาหลายเดือนแล้วนะเว้ย แต่แม่งไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย"

 

"อะไรวะ ... มาเที่ยวทั้งทีมึงยังหอบเอาคดีมาด้วยอีกเหรอ" ไอ้พายถามทีเล่นทีจริงพร้อมกับกลั้วหัวเราะ

 

"นี่กูจนปัญญาแล้วจริงๆ นะ ไม่รู้ว่ามันไปเก็บตัวอยู่เซฟเฮ้าส์ที่ไหนถึงได้ตามหาตัวยากเย็นขนาดนี้" ผมก้มหน้าเอามือลูบหน้าลูบตาให้สดชื่นขึ้นอีกหน่อยก่อนจะหันไปถามคนที่นั่งข้างๆ

 

"แล้วมึงเอาไงเนี่ย จะกลับคอนโดหรือไปต่อกับน้องน้ำหวาน" ผมเอ่ยถามถึงสาวสวยที่เดินมาขอชนแก้มกับไอ้พายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งมันเองก็ดูเหมือนอยากจะเล่นกับไฟอยู่ไม่น้อย

 

"เนี่ยออกมาแล้วว่าจะชิ่งกลับเลย"

 

"อ้าว ไหงงั้นวะ"

 

"ไม่รู้ว่ะ ช่วงนี้เบื่อๆ ไม่อยากหาเรื่องปวดหัวว่ะ ลำพังแค่เรื่องงานก็ปวดหัวพออยู่แล้ว ขี้เกียจหาเหาใส่หัวเพิ่มว่ะ สลับรางไม่ทันแล้ว"

 

"ถุย! ไอ้หล่อเลือกได้ กูอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้หนุ่มหน้าตี๋ จืดๆ อย่างมึงนี่มีอะไรดีวะ สาวๆ ถึงได้วิ่งเข้าหาเหมือนของเซลล์ขนาดนี้"

 

"อยากรู้เหรอจ๊ะ ... ต้องลองนะ" มันหันมาเชยคางผมก่อนจะทำหน้าเจ้าเล่ห์แล้วยักคิ้วให้ผม

 

"ไป! จะกลับก็กลับ เดี๋ยวกูขับไปส่ง" ผมลุกขึ้นเอามือปัดกางเกงก่อนจะเดินนำไอ้พายไปยังลานจอดรถของร้าน ระหว่างทางเราแวะกินข้าวต้มให้อุ่นท้องก่อนนอน ก่อนจะใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีขับไปส่งคอนโดใจกลางถนนสุขุมวิทของไอ้พาย ที่บ้านมันอยู่ต่างจังหวัดพอเรียนจบมันก็เลยมาซื้อคอนโดอยู่ที่นี่เพราะใกล้รถไฟฟ้าชนิดที่ว่าเดินยังไม่ทันเหงื่อออกก็ถึงสถานี

 

"ขับรถดีๆ นะมึง" มันเอามือเท้าประตูก่อนจะอวยพรแล้วเดินหันหลังกลับเข้าคอนโดไป

 

 

ผมค่อยๆ เปิดประตูรั้วก่อนจะเดินลัดสนามหญ้าไปยังตัวบ้าน บ้านของผมเป็นเรือนไทยแบบโบราณที่มีนอกชานและลานยกพื้นอยู่ตรงกลางบ้าน ฝั่งซ้ายเป็นส่วนของผม ส่วนฝั่งขวาเป็นส่วนของคุณย่า ตรงกลางเป็นห้องพระที่นานๆ ผมถึงจะย่างกรายเข้าไปสักที ส่วนพ่อผมเลือกที่จะนอนอยู่ที่ร้านขายของเก่าด้านหน้าบ้านพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน ผมค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างเบาที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง ก่อนจะเปิดประตูบ้านแล้วค่อยๆ ก้าวเท้าเข้าไปยังบริเวณบ้าน

 

"กลับมาแล้วเหรอเจ้าภัทร" เสียงคุ้นหูดังลอดมาจากห้องพระ ผมยิ้มแหยๆ เหมือนเด็กที่ทำผิดแล้วโดนจับได้ ก่อนจะก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไปยังห้องพระ

 

"ย่ายังไม่นอนอีกเหรอครับ" ผมค่อยๆ ทรุดตัวนั่งพับเพียบลงข้างๆ หญิงชราที่ไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม เส้นผมมีสีขาวตลอดทั้งหัว ย่าเอนตัวพิงหมอนอิงในมือถือหนังสือสวดมนต์ก่อนจะละสายตาจากหนังสือแล้วเงยหน้ามองมายังผม

 

"เจ้าภัทร .. ช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้เก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านนะ อย่าเที่ยวออกไปไหนมาไหน"

 

"มีอะไรรึเปล่าครับ"

 

"เชื่อย่าสักครั้งเถอะนะ" ย่าเอื้อมมือมาแตะมือผมเบาๆ ก่อนจะมองมาด้วยสีหน้าจริงจัง ย่าเป็นคนมีสัมผัสที่หก หลายครั้งที่ความฝันเป็นความจริง สังหรณ์ของย่านั้นแม่นจนผมแทบไม่เชื่อถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองมาหลายต่อหลายครั้ง

 

"ครับๆ" ผมรับปากไปทั้งที่ก็ไม่แน่ใจนักว่าจะทำตามคำสัญญาที่บอกไว้กับย่าได้หรือเปล่า ผมเป็นนักสืบงานของผมต้องออกไปข้างนอกแทบจะตลอดเวลาเพื่อหาเบาะแส ดังนั้นคำขอของย่าจึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะทำตามได้ แต่ผมก็บอกตัวเองว่าจะพยายามเพราะนิมิตรของย่ามักจะเป็นเรื่องจริงเสมอ การที่ย่าทักออกมาแบบนั้นแสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวผมแน่ๆ

 

"พรุ่งนี้เข้าไปหาพ่อเราที่ร้านด้วยล่ะ เห็นว่ามีของจะให้ดู"

 

"ครับเดี๋ยวตื่นแล้วผมว่าจะเข้าไปอยู่เหมือนกัน เดี๋ยวผมขอตัวไปนอนก่อนนะครับย่าเหนียวตัวเต็มที" ผมบอกก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากห้องพระ ในหัวผมคิดถึงแต่เรื่องคดีไอ้เขมคดีใหญ่ที่ผมกำลังตามสืบอยู่ว่ามันมีส่วนพัวพันกับการหายตัวไปของคุณน้ำมนต์ นักธุรกิจสาวด้านอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ แต่เซ้นส์ของผมมันบอกว่ามันนั่นแแหละคือตัวการใหญ่ของเรื่องนี้ แต่เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดคือมันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน แม้ว่าผมจะตามไปสืบถึงที่บ้านของมัน บ้านญาติของมันแต่ก็ดูเหมือนจะคว้าน้ำเหลว เพราะไม่มีข้อมูลอะไรที่จะชักนำไปหาตัวมันได้เลย ผมทิ้งตัวลงบนเตียงก่อนจะหลับตาลงพร้อมกับปล่อยความคิดที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ให้ล่องลอยกระเด็นกระดอนไปเรื่อยๆ ลมหายใจที่ดังสม่ำเสมอพร้อมกับไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศทำให้ผมคล้อยหลับไปในที่สุด ...

 

ผมรู้สึกตัวตื่นมาอีกทีเกือบสิบเอ็ดโมงก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วเดินออกมาจากห้อง ย่าเอนหลังอยู่บนเก้าอี้หวายที่ตั้งอยู่ฝั่งหนึ่งของลานที่ยกสูงจากพื้นขึ้นมาสามสิบเซ็นตรงกลางบ้าน สำรับตั้งอยู่บนโต๊ะไม้ตรงกลางอาหารฝีมือย่าอร่อยที่สุดแล้วสำหรับผม เช้านี้มีข้าวต้มหมูกินคู่กับไข่เจียว แม้จะเป็นอาหารง่ายๆ แต่ก็อร่อยจนผมต้องเบิ้ลอีกชาม หลังล้างจานเสร็จผมค่อยๆ ก้าวเท้าลงบันไดบ้านอย่างเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนย่าที่กำลังหลับอยู่ สาวเท้าผ่านสนามหญ้าก่อนจะเดินเข้าทางหลังร้าน

 

"พ่อ หวัดดีครับ" ผมยกมือไหว้ผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งเอาผ้าเช็ดบางสิ่งอยู่บนโต๊ะ

 

"อ้าวมาพอดีเจ้าภัทร ว่าจะให้ไอ้ตี๋ไปตามอยู่พอดี"

 

"พ่อมีอะไรรึเปล่าครับ เห็นย่าบอกว่าพ่อมีอะไรจะให้ผมดู"

 

"นั่งก่อนสิ" พ่อบอกก่อนจะหมุนตัวไปหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่บนชั้นด้านหลังแล้วนำมาวางบนโต๊ะ พ่อค่อยๆ เปิดกล่องไม้นั้นออกมาพร้อมกับหยิบแหวนวงหนึ่งขึ้นมา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนหน้าก่อนจะค่อยๆ ยื่นมาให้ผมดู

 

"แหวน ?"

 

"ไม่ใช่แค่แหวน แต่นี่เป็นแหวนแหวนโบราณที่พ่อเพิ่งได้มาจากลูกค้าเมื่อวาน" แหวนสีเงินที่มีไพลินสีน้ำเงินเข้มเม็ดใหญ่อยู่ตรงกลางวงดูมีพลังบางอย่างจนผมรู้สึกแปลกๆ

 

"แล้วยังไงครับ ก็สวยดี"

 

"พ่อยกให้แก" พ่อบอกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

 

"โอ๊ย พ่อจะเอามาให้ผมทำไม แหวนโบราณอย่างงี้ของคนตายรึเปล่าก็ไม่รู้ อีกอย่างพ่อก็ไม่รู้ว่าผมไม่ชอบใส่ของพวกนี้ พ่อเก็บไว้ขายให้ลูกค้าขาประจำเหอะ" ผมรีบปฏิเสธก่อนจะยื่นมันคืนให้กับพ่อ

 

"แกนี่มันไม่รู้อะไรเลย แหวนนี่พ่อตามหามาสิบกว่าปีเลยนะ กว่าจะได้มาเสียเงินไปไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ พ่ออยากให้แกเก็บไว้เผื่อว่าวันนึงพ่อไม่อยู่แล้วก็ให้แกจำเอาไว้ว่าแหวนนี่เป็นตัวแทนของพ่อ"

 

"โอ๊ย ตายเตยอะไรกัน พ่อยังอยู่กับผมไปได้อีกนาน แข็งแรงออกขนาดนี้" ผมลุกขึ้นไปกอดรอบเอวพ่อพร้อมโยกตัวไปมา

 

"ใส่ไว้เถอะนะ แกเหมาะสมที่สุดที่จะได้เป็นเจ้าของแหวนนี้" พ่อเอามือมากุมมือผมไว้ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง ลองพ่อพูดมาขนาดนี้แล้วเห็นทีจะยากที่ผมจะปฏิเสธ นิสัยที่ผมได้รับมาจากพ่อเต็มๆ คือ การเป็นคนหัวรั้นมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งยากที่จะยอมอ่อนข้อให้ใครแต่กับพ่อนี่ไม่ยอมก็เหมือนจะต้องยอมมันซะทุกครั้ง เพราะพ่อมักจะมีเหตุผลดีๆ มาหว่านล้อมให้ผมใจอ่อนจนได้ แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ไม่เคยบังคับให้ผมทำอะไรในสิ่งที่ผมไม่ชอบเลยสักครั้ง ผมหยิบแหวนวงเดิมในมือขึ้นมาพิจารณาอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ สวมมันลงบนนิ้วกลางของมือขวา ประกายวาววับปรากฏขึ้นครู่หนึ่งจะหายไป ความรู้สึกแปลกๆ เกี่ยวกับแหวนวงนี้ยังคงปรากฏชัดในความรู้สึกของผม ....

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว