"ณ. บริษัท เจ.เอส.ดี. (1983) โลจิสติกส์ จำุกัด"
เจษพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการของบริษัท กำลังประชุมเกี่ยวกับงานโลจิสติกส์ด้วยสีหน้าที่เครียด เนื่องจากฝ่ายบัญชีแจ้งผลประกอบการ3เดือนที่ผ่านมา บริษัทำมีกำไรเพียงแค่ 5% ซึ่งเมื่อมองจริงๆแล้วรายจ่ายสำคัญในตอนนี้คือ ฝ่ายซ่อมบำรุงนั้นเอง เขาจึงได้เรียกประชุมพนักงานทุกแผนกเพื่อจะแจ้งเกี่ยวกับการจะเปิดอู่และรับสมัครช่างเข้ามาเพื่อลดค่าใช้จ่ายๆ
แต่......!!!! ลดาภัส ผู้จัดการฝ่ายบุคคลได้แย้งขึ้นว่า "คุณเจษคะ ถ้าเราจะเปิดอู่ บริษัทอาจจะมีปัญหาด้านการเงินนะคะ"
เจษพิพัฒน์รับฟังแบบเครียดๆ และแล้ว นาราผู้จัดการฝ่ายบัญชีก็ได้เสนอออกไปว่า
"คุณเจษคะ นาขอเสนอว่า เราเปิดแผนกซ่อมบำรุงและจัดซื้อได้คะ เปิดแค่แผนกพอแล้วหาช่างที่มีความรู้กับธุรการซักคน..!!!" นาราพูดไม่ทันจบ ปิยะรัตน์พูดขัดด้วยเป็นพวกเดียวกับลดาภัส
"รัตน์ว่ามันจะสิ้นเปลืองนะคะ"
แต่เจษพิพัฒน์อยากฟังนาราพูดต่อ
"ผมขอฟังนาเสนอก่อนครับ"
นาราเสนอต่อ
"ปกติเราจะให้คนขับหาอู่ใกล้ๆแล้วเกิดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย อย่างเช่น ยางแตกหรือระเบิด บางคนเปลี่ยนเบ็ดเสร็จยางเปอร์เซ็นต์5,000บ้าง8,000บ้าง บางคนบางคันเปลี่ยนเดือนนึงเกือบ10เส้น เอาจริงๆบัญชีตรวจสอบได้นะคะ แต่จะไม่Realtime แต่ถ้าเรามีฝ่ายนี้เข้ามาดูแล เค้าก็จะมีRecordไว้ทุกวัน อีกอย่างเรายุแต่ออฟฟิศเราไม่มีทางทราบได้หรอกคะว่าร้านไหนถูกร้านไหนแพง แต่ถ้าเรามีจัดซื้อด้านซ่อมฯโดยตรงเราก็จะหาร้านได้ตรงตามสเปคบวกกับลดค่าใช้จ่ายและการทุจริตได้ด้วยคะ"
จบการเสนอของนารา ซึ่งเจษพิพัฒน์พอใจกับการนำเสนอครั้งนี้มากจึงหันไปบอกลดาภัสว่า
"งั้นประกาศรับสมัครช่างกับธุรการแผนกให้ด้วยขอเร็วที่สุดภายในอาทิตย์นี้"
มีหรือที่คนอย่างลดาภัสจะไม่จุ้นอีก เลยเสนอเพิ่มเติมว่า "เป็นไปได้ไหมคะคุณเจษ ถ้าธุรการจะเอาแค่นักศึกษาฝึกงาน"
เจษพิพัฒน์งงเลยถามว่า "ทำไม?"
ลดาภัสตอบไปทันทีว่า
"เด็กฝึกงานมีข้อดีตรงที่ว่าเค้าตั้งใจหาประสบการณ์ แล้วเรื่องเงินเดือนด้วยคะ"
เจษพิพัฒน์ตอบแบบเหน็บเล็กน้อย "แล้วแต่นะ แต่ขออย่าทำงานเสียพอ....... !!!!! ปิดประชุม!!!!!!
///// ทุกคนทยอยไปทำงาน //////