“พี่แทนขา..ถ้าหายโกรธแล้วพอจะฟังรินสักนิดได้ไหมคะ” ฉันอ้อนแนบแก้มกับต้นแขน เขาเกร็งตัวและถอยออกห่าง สีหน้าเย็นชาไม่ไว้วางใจ
“จะพูดอะไร..” เสียงที่ยังกรุ่นโกรธทำให้ฉันชะงัก หัวใจเจ็บแปลบไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วกระมัง สายตาที่ครั้งหนึ่งเคยมองฉันอย่างดูหมิ่น ตอนนี้สายตานั้นก็กำลังมองฉันอีกครั้ง
“พี่กำลังเข้าใจรินผิดนะคะ” ฉันยื่นมือออกไป แต่เขาเบี่ยงหลบแววตาที่เหยียดหยามเหมือนที่เคยเห็นที่รีสอร์ทวันนั้น ไม่ต่างกับตอนนี้เลย
“ไอ้หมอนั่นเป็นเพื่อน อีกหลายคนที่เธอคบอยู่เป็นเพื่อน ผู้ชายทุกคนในโลกนี้เป็นเพื่อนหมดกอดได้จูบได้ เอาได้ ก็เป็นเพื่อนงั้นซิ”
ฉันผงะกับคำพูดของคนที่ฉันรัก น้ำตาใหลพร่างพรูฉันสะอื้นให้เขาเห็น สายตาที่มองวิงวอนอ้อนวอน แต่เขากลับมีสายตาที่เหยียดหยามดูหมิ่นและสะใจ
มันใช่หรือ? นี่เขารักภาษาอะไรทำไมถึงไม่เชื่อใจไม่ให้เกียรติได้ขนาดนี้ เขาจะเก็บฉันไว้ใส่กรงไม่ให้ใครเห็นไม่ให้พูดคุยกับใครคบหาใครเลยหรือ พูดคุยกับใครก็เหมารวมว่า ร่าน
เสียแรงที่เธอไว้ใจเขาทุกอย่าง ทั้งเรื่องในอดีตของเขา และปัจจุบันของเขา เธอไม่เคยเข้าไปก้าวล่วงให้เขาวุ่นวาย แต่ทำไมสิ่งที่เธอได้รับถึงเป็นแบบนี้ ความรัก ความซื่อสัตย์ ไว้ใจ เขามองไม่เห็นสิ่งที่เธอทำบ้างเลยหรือ ?
ฉันทรุดตัวลงนั่ง ยกมือทุบไปที่อกตัวเองสะอื้นอย่างกลั้นไม่ไหวมันเจ็บเกินจะทน หัวใจของฉันถูกเขาเหยี่ยบย่ำไม่มีชิ้นดี ฉันทำอะไรผิดมากนักหรือเขาถึงได้ประนามฉันได้ขนาดนี้ ฉันพูดอะไรไม่ออกไม่มีแรงจะยืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วย พี่แทนงุ่นง่านคำรามในคอ
“รินไม่ได้ทำ..รินไม่เคยทำแบบนั้นเลย” ฉันสะอื้นพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆด้วยความเจ็บช้ำ
“ให้ตายเถอะริน หยุดร้องไห้ได้แล้ว” เขาพูดอย่างรำคาญ ทุบไปที่ราวระเบียงแต่เขาไม่แตะตัวฉันซึ่งนั่งกองกับพื้นสะอึกสะอื้นอยู่แทบเท้าเขาสายตาที่เขามองฉันอ่อนลงแต่ฉันไม่อาจเชื่อได้อีกว่าเขายังมีเยื่อใย
“พี่จะพูดอย่างไรรินก็ยังยืนยัน รินไม่เคยทำอย่างที่พี่พูดสักครั้ง แม้แต่คิดรินก็ไม่เคย” ฉันร้องไห้ เงยหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาวิงวอนเขา ผู้ชายใจร้ายที่ฉันรักหมดใจแต่กำลังฆ่าฉันให้ตายด้วยคำกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุด
บทนำ
ฉันนั่งมองแก้วเหล้าและกองบุหรี่สลับกับมองไปข้างหน้าไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่ปล่อยความคิดล่องลอยอ่อนหวาน ความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจทุกครั้งที่มองไปที่มุมนั้นความมัวซัวในร้านเหล้าเล็ก ๆ ในซอกซอยย่านหนึ่งของเมืองหลวง หลายคืนมาแล้วที่ฉันเฝ้ามองเขา เสียงซุบซิบถกเถียงเสียงหัวเราะรอบกายเหมือนแว่วอยู่ริมหู ดวงตาของฉันจับจ้องไปที่ ชายคนนั้นที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ตอนนี้
ใบหน้างดงามหมดจดขนตางอนอ่อนช้อยจมูกโด่งเป็นสันตรงได้รูปริมฝีปากสีสดแดงระเรื่อ ผู้ชายหล่อที่ดูสวย เด็กในร้านถกเถียงกันว่าเขาเป็นผู้หญิงในร่างผู้ชาย เกมส์พนันเอาสนุกเหล้าและบุหรี่ที่กองอยู่ตรงหน้าฉันในตอนนี้เป็นของพนันขันต่อเอาสนุก ฉันยังคงมองไปยังผู้ชายคนนั้นซึ่งนั่งปล่อยอารมณ์ไปกับบรรยากาศรอบตัวไม่สนใจกับใคร
ฉันคิดว่าเขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจเอามากๆ มีเสน่ห์ที่ทำให้ฉันรู้สึกตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว ฉันไม่สนว่าจะได้ของพนันไร้สาระอะไรบนโต๊ะนั่น รู้เพียงว่าผู้ชายคนนั้นดึงดูดความรู้สึกฉันอย่างที่สุด และกว่าจะรู้ตัวเท้าก็พาฉันเดินเข้าไปหาเหมือนต้องมนต์สะกด..
“สวัสดีค่ะ “ ฉันทักทาย
“สวัสดีครับ” เขายิ้ม กวาดตามองไปรอบตัวฉันก่อนจะยิ้มกว้างมากขึ้นดวงตาพราวพึงพอใจ
“นั่งด้วยกันมั้ยครับ” ริมฝีปากแย้มยิ้มเห็นไรฟันเรียงเรียบขาวสะอาด ฉันทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับเขา บนโต๊ะมีกับแกล้มกินเล่น สองสามอย่าง เขายิ้มเมื่อเห็นท่าทางขัดเขินของฉันมันคงแสดงออกทางสีหน้า เพราะอะไรทำให้ฉันกล้าที่จะเดินเข้ามาหาเขา เป็นเพราะสายตาอมโศกคู่นั้น หรือเพราะฉันเห็นเขามานั่งที่นี่ ด้วยท่าทีเหงาๆ ผู้ชายหน้าหวานสวยเหมือนผู้หญิง
ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งนี้ฉันเพิ่งมาทำงานได้ไม่นาน พี่เจ้าของร้านเป็นเพื่อนกับญาติที่เป็นหุ้นส่วน ฟังดูสับสนไปหน่อยแต่ฉันก็คือลูกจ้างแค่รายได้จากการร้องเพลงคลอเสียงกิต้าร์โปร่ง กิตาร์ที่เก็บออมเงินในที่สุดก็ได้มันมาเป็นเจ้าของ และมันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ฉันได้ดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไม่ขัดสนนัก
“ฉันชื่อระริน ค่ะ” ฉันบอกชื่อของฉัน เป็นการเปิดการสนทนา ในแรกพบเจอ
“โอ๊ะ...ขอโทษครับผมเสียมารยาทจริงยินดีครับ ระริน ผมชื่อแทนครับ” เ ขายิ้ม น้ำเสียงทุ้มต่ำในคอ มันเป็นเสียงของชายหนุ่ม มันไม่มีทีท่าว่าจะเป็น ชายอีกประเภทอย่างที่ได้ยิน เด็กในร้านพูดสักนิด
“ริน เห็นคุณ มานั่งประจำที่นี่ เป็นยังไงบ้างคะมีข้อบกพร่องอะไรหรือเปล่า”
ชายหนุ่มตรงหน้ามองฉันยิ้มนิด ๆ กวาดตามองไปรอบตัวก่อนจะตอบคำถามของฉัน
“เงียบๆ ดีครับ “ เขาเป็นคนพูดน้อยดีจังฉันเริ่มสนใจผู้ชายคนนี้มากขึ้นแล้วซิ
“ผมหมายถึง ผู้คนไม่ค่อยวุ่นวายแล้วก็ไม่หนวกหู “ เขาขยายความขึ้นมาหน่อย
ฉันลอบมองเสี้ยวหน้าละมุน แม้ในความสลัว ก็ยังมองเห็นความเนียนละเอียดของผิวแก้มน่าสัมผัสจนอยากลูบดูสักครั้ง หน้าฉันร้อนวูบเมื่อปล่อยให้ความรู้สึกเตลิดไปอย่างนั้น ทั้งที่ผู้ชายตรงหน้าก็ดูมีท่าทีไว้ตัว และระมัดระวังติดจะหยิ่งๆด้วยซ้ำ
“ยินดีค่ะที่ลูกค้าชอบ เอ่อ..รินต้องขึ้นร้องเพลงแล้วค่ะ คุณอยากฟังเพลงไหนพิเศษบ้างมั้ยคะ” ฉันยิ้มบาง ๆ สอบถามตามมารยาทของการเทคแคร์แขกในร้านตามปกติ
“อ๋อ ครับเพลงอะไรก็ได้ครับ “ เขายิ้ม และขยับตัวเมื่อฉันเอ่ย รอยยิ้มเป็นมิตรยังแตะแต้มใบหน้านั้น
ฉันลุกขึ้นหันหลังจะก้าวออกมาจากโต๊ะนั่น ความรู้สึกตรงท้ายทอยลุกชันชัดเลยว่าฉันถูกมองสำรวจตรวจตรา วันนี้ฉันนุ่งกระโปรงยีนส์สั้นกับเสื้อยืดสีหวาน มือเรียวของชายหนุ่มแตะเบา ๆ ที่ข้อมือ ฉันก้มมองมือเรียวก่อนจะมองหน้า เขาชักมือกลับท่าทางเก้อเขิน ใบหน้าสวยกระจ่างขึ้นเมื่อเขาแย้มรอยยิ้ม แต่หัวใจของฉันสั่นไหวรุนแรง และสะท้อนใจเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา
“ผมจะรอจนกว่าคุณจะเลิกงาน หากไม่รังเกียจ” ฉันยิ้มไม่ตอบอะไร แต่หัวใจกลับเต้นระรัว ในความรู้สึกผิดหวังวูบขึ้นมา เขาหมายถึงอะไรกันนะ
ขณะที่ฉันร้องเพลงก็อดที่จะมองไปยังมุมที่ชายหนุ่มหน้าสวย นั่งอยู่ไม่ได้ แม้มองไม่เห็นชัดนักแต่ก็รู้ว่า เขาจ้องมองฉันอยู่ตลอดเวลา
ในเพลงที่ฉันเลือกความหมายของเพลงนี้ก็ชัดเจนอยู่แล้ว ฉันก็ไม่เข้าใจทำไมถึงอยากร้องให้เขาฟัง หรือว่า เพราะฉันตกหลุมรัก แต่ฉันก็ไม่ได้อยากเป็นของเล่นของใคร สิ่งที่เขาเอ่ยปากมันทำให้ฉันต้องถอยห่าง..ฉันไม่ได้ต้องการให้เหมือนกับผู้หญิงกลางคืนทั่วไป ถึงแม้ว่า..มันจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยกับสิ่งที่คนส่วนมากจะคิดไปในทางนั้น..
หมดเวลาสำหรับฉันในคืนนี้ ตกดึกมันจะเป็นหน้าที่ของวงดนตรี ที่จะขับกล่อมนักท่องราตรีต่อไปฉันชั่งใจทั้งอยากสานสัมพันธ์ต่อทั้งอยากจะถอยห่าง คำพูดของเขาทำให้ฉันกลัวสุดท้ายความลังเลก็ชนะ ฉันไม่จำเป็นต้องเดินไปพบกับเขาอีกไม่แน่ใจว่าคำที่เขาบอกว่า จะรอ หมายถึงอะไร..
ฉันเก็บกิต้าร์เครื่องมือหากิน และเดินออกไปนอกร้าน ระหว่างเดินผ่านแขกประจำหลายโต๊ะ ฉันยิ้มทักทายร่ำรา แขกประจำที่คุ้นหน้ากันดี ฉันเหลือบมองไปที่มุมนั้นอีกครั้ง มีแขกที่ยังไม่กลับนั่งอยู่สองสามคน ฉันไม่อาจห้ามความรู้สึกที่จะมองหาเขาไม่ได้จริงที่ตรงนั้นว่างเปล่าเด็กเพิ่งเก็บโต๊ะเสร็จ เขาคงกลับไปแล้ว ฉันถอนหายใจก็เท่านั้นเขาก็คงเหมือนชายทั่วๆไป ความเมามาย ความเหงา หรืออะไรสักอย่าง ล้วนเกินขึ้นได้เสมอ ยามที่อ่อนแอ ฉันสลัดความคิดถึง แทน ชายหนุ่มที่รู้จักแค่ชื่อ