บทแรกทางเลือก
หากจะกล่าวถึงอาชีพทางกฎหมายใด ที่มีรายได้สูงที่สุด อันดับต้นๆของประเทศ ผมว่าคงหนีไม่พ้น อาชีพ ทนายความอย่างแน่นอน ทำไมผมถึงว่าอย่างนั้น คุณลองฟังนี้ดูก่อนครับ ค่าจ้างทนายบางคนที่ได้รับในการว่าความในแต่ละครั้งอาจสูงถึง หกถึงเจ็ดหลักเลยก็มี แต่การจะได้ค่าว่าจ้างระดับนั้นได้ แน่นอนว่าคุณต้องเป็นคนมีความสามารถและชื่อเสียงที่มากมาย ดังนั้น ทนายบางคนจึงชอบทำตัวให้ดังให้เป็นที่จับตามองของสังคม ในทางกลับกันถ้าคุณไม่มีชื่อเสียงหรือไร้ฝีมือและล่ะก็ ค่าจ้างของคุณก็จะได้น้อยลงไปตามลำดับด้วย บ้างก็น้อยจนเลิกประกอบอาชีพทนายไปทำอย่างอื่นเลยเสียก็มี ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะสอบได้ใบประกอบวิชาชีพทนายความได้ หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทนายฝึกหัดนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ อย่าว่าแต่ค่าจ้างที่ถูกเลย แม้แต่คนจะจ้างยังไม่มีเลย ผมจึงจำเป็นต้องเข้าไปเก็บประสบการณ์ และชื่อเสียงในสำนักงานทนายความรุ่งโรจน์แห่งนี้ โดยสักวันหนึ่งผมจะต้องมีค่าตัวที่สูงลิบลิ่วให้ได้
ผมใช้เวลาเดินทางจากที่บ้าน จนมาถึงที่ทำงาน ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ซึ่งผมเดินทางโดยอาศัยรถโดยสารประจำทาง ดังนั้น ผมจึงต้องออกจากบ้านให้เร็วกว่าปกติถึง 1 ชั่วโมง เพื่อใช้เวลาในส่วนที่เกินในการรอรถประจำทาง ที่ออกมาอย่างไม่มีความแน่นอน
"มาทำงานเช้าจังเลยนะคะ" สาวผมสั้น สวมแว่นสีชมพูหนา ใส่ชุดสีดำ ลงมาจากรถที่จอดในที่จอดรถของสำนักงานทนายความรุ่งโรจน์ ในมือเธอถือเอกสารมากมาย
"ครับ" ผมพยายามตอบรับอย่างสุภาพ
"ให้ผมช่วยไหมครับ" ผมเดินเข้าไปเพื่อจะถือเอกสารช่วยเธอ
"ขอบคุณค่ะ คุณ..."
"ผมชื่อ เอส ครับ"
"ฉันชื่อ มายค่ะ"
"ยินดีที่ได้รู้จักครับ"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ"
"คุณทำงานที่นี้นานหรือยังครับ"
"เรียกมายเถอะค่ะ ฉันก็เพิ่งทำได้ปีสองปีเอง เดินไปคุยไปดีกว่าค่ะ อยู่ตรงนี้มันเสียเวลา"
"ครับ"
"เอสล่ะ เป็นทนายมากี่ปีแล้ว"
"อะ ผมเพิ่งสอบตั๋วทนายได้ครับ" ผมหัวเราะเล็กๆ อย่างเก้อเขิน
"มายได้ค่าจ้างในการว่าความครั้งล่ะกี่บาทเหรอครับ"
"ไม่ตายตัวค่ะ แต่ขั้นต่ำต้องสองหมื่น"
"สองหมื่น!!" ผมหยุดยืนไปสักพัก ก่อนจะรีบวิ่งตามเธอที่เข้าไปข้างในสำนักงานแล้ว เงินจำนวนนี้อาจจะดูเหมือนน้อย ถ้าเทียบเป็นเดือน แต่สำหรับ ทนายอย่างเราแล้ว เดือนหนึ่งเราจะว่าความกี่ครั้งก็ได้สุดแท้แต่ความสามารถ ถ้าเดือนหนึ่ง มายว่าความแค่สิบครั้ง นั้นก็ สองแสนแล้ว ผมเดินตามหลังมายมาอย่างกระชั้นชิด ในสำนักงานนี้ มีโต๊ะทำงาน สามตัว แสดงว่ามีทนายความสามคน มายเข้าไปนั่งโต๊ะทำงานที่มีกองเอกสารมากมาย แต่ถูกจัดไว้เป็นระเบียบ ผิดกับโต๊ะข้างๆเธอที่วางกระจัดกระจายอย่างไม่เป็นระเบียบ
"คือ"
"ค่ะ"
"ผมนั่งไหนครับ"
"ไม่ทราบค่ะ" คำตอบสั้นๆอย่างนี้ เริ่มทำให้ผมคิดแล้วสิว่า ผมไปทำอะไรให้เธอไม่พอใจหรือยังไง หรือนิสัยของเธอเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เนื่องจากผมทำงานวันแรก ผมเลยไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย นอกจากกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ ปากกา และประมวลกฎหมาย ดังนั้นผม จึงเลือกเอาของไปวางไว้มุมห้องและนั่งตรงนั้น มายก็ชำเลืองตามองผมชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารบนโต๊ะของเธอ ระหว่างที่ผมนั่งรอ รออะไรสักอย่างอยู่นี้ ผมก็คิดอะไรไปเรื่อย บางครั้งการที่เรามาทำอาชีพทนายแบบนี้ อาจจะดีจริงๆก็ได้ มันเหมือนกันเก็บกับเลเวลก็ไม่ปาน ยิ่งเรามีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ทำคดีที่ยากชนะเท่าไหร่ ชื่อเสียงเราก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น แน่นอนค่าตัวเราก็จะสูงขึ้นด้วย และท้ายที่สุดไม่ว่าใครๆก็จะต้องการให้เราว่าความให้ สำนักงานทนายความไหนๆ ก็ต้องแย่งตัวเราทั้งนั่น แค่นี้ผมก็นั่งยิ้มคนเดียวแล้ว เสียงเปิดประตูจากชั้นสองของสำนักงานดังขึ้น และมีสิ่งคนเดินลงมา
"สวัสดี ทุกคน เอ้า คุณมายเด็กใหม่ยังไม่มาเหรอ ?" ชายแก่ในชุดนอนพูดขึ้น มายชี้มือมาทางผม
"สวัสดีครับ" ผมรีบลุกขึ้นแล้วสวัสดีอย่างทันที
"สวัสดี สวัสดี ทำไมไปนั่งตรงนั้นล่ะ"
"ผมไม่รู้จะนั่งตรงไหนครับ โต๊ะทำงานมีสามโต๊ะ แต่ทุกโต๊ะมีของมีเอกสารทั้งนั้น ผมเลยคิดว่า..."
"นี้ๆ โต๊ะของคุณ " ชายแก่ชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ถัดจาก โต๊ะที่มีเอกสารวางระเกะระกะอยู่
"แต่นั่น มันมีเอกสารอยู่บนโต๊ะนะครับ"
"มันเป็นของทนายคนเก่า"
"แล้วเขา"
"ลาออกแล้วล่ะ พอมีชื่อเสียงก็ทิ้งที่นี้ไป แย่จริงๆเลยเด็กสมัยนี้"
"นั่นสิครับ" ผมหัวเราะอย่างแห้งๆ แล้วถือประมวลไปวางไว้ในที่วางของโต๊ะ และผมก็ได้ทำการเก็บกวาดโต๊ะนั้น จนสะอาด
"คุณมาย วันนี้ ได้มีกำหนดการณ์ที่ไหนไหม ? " ชายแก่ถาม
"มีค่ะ ว่าความคดีแรกตอน สิบโมง คดีที่สองตอนบ่าย คดีที่สามตอนบ่ายสาม"
"โห หนักหน่อยนะ" ชายแก่หัวเราะ
"คุณมาย ฝากสั่งสอนคุณเอสด้วยนะ " จากนั่นชายแก่ก็เดินไปพร้อมเสียงหัวเราะ
"พูดเป็นเล่น" ผมสบถออกมาเบาๆ ผมไม่คิดว่าคนอย่างมายเนี่ยนะ จะมาสอนอะไรผมได้ ถ้าจะมีก็คงจะเป็นวิธีไม่เข้าสังคมล่ะมั้ง ระหว่างที่ผมนั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะทำงานอยู่นั่น ไม่นานนักลูกค้า คนแรกของเราสำหรับวันนี้ก็ปรากฏตัวขึ้น
"สวัสดีค่ะ" มายพูดขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนหวาน ราวกับเป็นคนละคนกับที่คุยกับผมเมื่อกี้เลย
"คุณพ่อ คุณแม่ มีปัญหาอะไร" มายถาม ชายแก่วัยกลางคน และหญิงแก่วัยกลางคน ซึ่งแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหม แต่งหน้าเล็กน้อย และถือกระเป๋าแบบคล้องแขน
"สวัสดีครับ คือผมมีเรื่องสิปรึกษาคุณทนายแหน่ครับ" ชายแก่วันกลางคนพูดด้วยสำเนียงอีสาน
"ค่ะ เชิญนั่งก่อนค่ะ" มายพาคู่สามีภริยาดังกล่าวไปนั่ง ที่เฟอร์นิเจอร์กลางห้อง
"คือลูกผม มันถูกข้อหาข่มขืนผู้สาวมันครับ"ชายแก่วัยกลางคน พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"แล้วลูกคุณอยู่ไหนค่ะ"
"มันนอนอยู่ในคุกอยู่ครับ"
"ทำไมไม่ประกันตัวออกมาล่ะค่ะ"
"บ่มีเงินครับ" คำพูดของชายแก่วัยกลางคนคำนี้ ถึงกับทำให้มายหยุดการสนทนาไปชั่วขณะ
"ฐานะสินะ" ผมพูดกับตัวเองเบาๆ พลางนั่งสังเกตสถานการณ์ไป
"งั้น เรื่องคดีข่มขืนนี้ น่าจะให้คนที่เชี่ยวชาญจัดการนะคะ เอส เอส มานี้หน่อย" งานงอกแล้ว ไงปัดให้กันดื้อแบบนี้ล่ะ อย่าบอกนะ ว่าเพราะคำว่าไม่มีเงิน มายถึงเลือกที่จะไม่ทำคดีนี้
"หนูขอตัวก่อนนะคะ" พูดเสร็จมายก็รีบลุกออกไป แล้วก็เดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ ซึ่งผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า มายจะเป็นคนอย่างนี้
"เรื่องมันเป็นมายังไงครับ" ผมหันมาพูดกับสองสามีภริยาวัยกลางคน สักพักผมก็เห็นมายเดินออกจากสำนักงานไป
"คือ ลูกลุงมันถูกข้อหาข่มขืนแหม่" ทุกอย่างก็เงียบลง ผมก็รอสักพัก
"จบแล้วเหรอครับ"
"แม่นครับ จบแล้ว"
"ห๊ะ" ผมสบถออกมาสั้นๆ
"ผม ขอถามอะไรหน่อยได้มาครับ"
"ถามมาโลด บักหล่า" ชายแก่วัยกลางคนพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่สะอื้นราวกับจะร้องไห้ ช่างเป็นฉากที่กดดันจิตใจผมซะเหลือเกิน
"เดี๋ยวนะครับ" ผมลุกขึ้นไปที่โต๊ะทำงานเพื่อหา กระดาษกับปากกามาจดบันทึก ซึ่งโต๊ะผมไม่มีอะไรเลยนอกจากประมวลที่ผมเอามา
"จะเอายังไงดีวะ"
"งั้น เอางี้เลยแล้วกัน" ผมเดินกลับมานั่งที่เฟอร์นิเจอร์ที่สองสามีภริยาแก่วัยกลางคนนั่งอยู่ แล้วควักโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดโปรแกรมบันทึกเสียง แล้วกดบันทึก
"ลูกของลุง อายุกี่ปีแล้วครับ"
"น่าสิ 20 บ่"
"บ่ๆ บักต้ามันอายุ 21 แล้ว เจ้ากะดาย อายุลูกเจ้าของกะยังจำบ่ได้" หญิงแก่วัยกลางคนพูดขึ้น
"ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครครับ พอจะทราบไหม"
"ผู้สาวมันนั่นล่ะ คบกันมาแต่โดนแล้ว ตั้งแต่มันอยู่มัธยมพู้น จนมันสิเรียนจบมหาลัยแล้ว" หญิงแก่วัยกลางคน ผู้เป็นแม่พูดขึ้น
"ลูกป้าเคยพูดถึงหรือเปล่าครับ เรื่องพูดหญิงคนนั้น"
"เว้าหลาย กะด้อกะเดี้ย มาบ้านจักครั้งแล้วบุ จนจำบ่ได้"
"ทำไม เขาถึงว่าลูกป้าไปข่มขืนเขาล่ะครับ ถ้าว่าเป็นผู้สาวกัน ? " เอ้าผมก็เลยเผลอพูดภาษาอีสานไปด้วย เอาเถอะตามๆน้ำไป
"บักต้ามันเว้าให้ฟัง ว่าผู้สาวมันคือจังสิมีผู้อื่นนิล่ะ"
"คือคิดจังซั่นครับ" เอาเข้าไป เพื่อความสบายใจลูกความ เราต้องกลมกลืนไปให้เหมือนคนบ้านเดียวกันที่ไถ่ถามสาระทุกข์สุขดิบ จะได้ไม่เป็นการกดดันลูกความด้วย
"กะ มันว่าอีส้ม ผู้สาวมัน คือจังบ่ค่อยอยากเว้านำ มักนั่งยิ้มกับโทรศัพท์อยู่ผู้เดียว" ผมเงียบไปสักพัก เรื่องนี้พอมีเค้ามีมูลอยู่นะ แต่เรื่องที่แกเราจะจริงแค่ไหนกัน ถ้าเกิดที่เล่ามาทั้งหมดไม่ถูกต้องล่ะ เราจะทำยังไง เราจะปรึกษาใครได้ นี่คดีแรกนะ เราจะปฏิเสธไปเลยดีไหม เพื่อชื่อเสียงเราและสำนักงาน แถมยังเพื่อโอกาสที่จะไม่ต้องมาเสี่ยงติดคุกอีก
"บักหล่า ยายกะบ่ค่อยมีเงินหลายเด้อ แต่ถ้าช่วยบักต้าลูกยายได้ แพงเท่าใด ยายกะสิหามาให้ดอก" หญิงแก่วัยกลางคนพูดทั้งน้ำตา ชายผู้เป็นสามีนั้นจึงได้โอบกอดไว้
"บ่เป็นหยังดอก บักต้ามันเป็นคนดี พระสิคุ้มครองมันอยู่" เสียงชายแก่ที่สั่นเครือ ทำให้ผมรู้ในทันทีเลยว่าแกก็พยายามที่จะอดกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้อยู่ ผมหลับตาลงเพราะตอนนี้จิตใจผมไม่สงบเลย ราวกับพายุที่ถาโถมพัดเรือเล็กอยู่กลางทะเล ผมไม่กล้าที่จะตัดสินใจด้วยซ้ำ เพราะการตัดสินใจนี้ หมายถึงอนาคตของคน คนหนึ่ง ไม่สิ อาจจะหมายถึงครอบครัว ครอบครัวหนึ่งเลย คดีข่มขืนว่ากันว่าเป็นคดีที่หลุดยากมาก กลับจะมาเป็นคดีแรกของเราเลยเนี่ยนะ เราจะพร้อมไหม ? ผมถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ไม่นานหลังจากการสนทนาเสร็จสิ้นลงสองสามีภริยาแก่วัยกลางคน ก็ประคองกันออกไปจากสำนักงานทนายความนี้พร้อมทั้งน้ำตา
"ตอบไปอย่างนั้นคิดดีแล้วเหรอครับ" ชายแก่ที่สวมชุดนอนในตอนแรกนั้นพูดขึ้น ตอนนี้แกได้เปลี่ยนมาใส่ชุดเล่นสบายๆแทน
"ครับ อย่างน้อยผมก็คิดว่าน่าจะดีที่สุดแล้ว"
"ไม่เป็นไรครับ คุณเอสเลือกแล้ว อย่าเสียใจในสิ่งที่เลือกแล้วเลยครับ" ชายแก่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ผมลุกขึ้นจากเฟอร์นิเจอร์ เดินไปที่โซฟายาว
"คุณไม่เหมือนเป็นทนายเลยนะครับ" ผมถามชายแก่เจ้าของสำนักทนายความ
"คนเป็นเจ้าของสำนักทนายความ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นทนายความนิครับ" ชายแก่ตอบ
"นั่นสินะครับ" ผมยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะทิ้งตัวเองลงไปบนโซฟายาวนั้น
"ตอบตกลงจนได้นะเรา จะทำยังไงดีล่ะที่นี้" ผมพูดขึ้นมาอย่างเบาๆ ทั้งที่ยังรู้สึกถึงโลกที่หมุนอยู่ และรู้สึกว่ามันหมุนรุนแรงจนแทบจะอยากอาเจียนออกมา