บันทึกรัก : แห่งสายลมหนาว (เรื่องสั้น)
หนึ่งเดือน ก่อนวันสิ้นปี
กระแสลมตอนเหนือพัดโบกสะบัด หอบเอาความหนาวเย็นมาสู่พื้นดิน เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงฤดูหนาวที่ย่างเข้ามาเยือนเมื่อพฤษจิกายนที่ผ่านมา ยิ่งอากาศเย็นลงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้เหน็บหนาวไปถ้วนทั่วของร่างกาย แต่นั้นก็ไม่ได้ถึงเศษเสี้ยวของความหนาวเหน็บในจิตใจของคนที่เพิ่งจะถูกคนรักทิ้งไป
“ซันดิว........ใบฟางว่า เราเลิกกันเถอะ........” เสียงนั้นยิ่งตอกย้ำรอยร้าวฉานของชายหนุ่มมาดเซออย่างซันดิว หลังจากที่เขากับอดีตแฟนสาวอย่าง ใบฟาง ได้จบความสัมพันธ์กันลงทั้งๆที่ยังคบกันได้ไม่นาน และอีกอย่างเหลือเพียงอีกไม่กี่วันจะถึงวันครบรอบของทั้งสองแล้ว แต่ชายหนุ่มก็ต้องมาพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน นั่นคือ ถูกแฟนสาวบอกเลิกไป
เมื่อนับย้อนกลับไปปีที่แล้ว เมื่อคราที่ทั้งสองต่างพบกันครั้งแรก ในวันนั้นเป็นวันที่ซันดิวจะไม่มีวันลืมได้ลง
“เห้ยซัน ไปหอสมุดกับกูหน่อย” ภาคภูมิ เพื่อนสนิทของซันดิวที่ใส่แว่นหนาเตอะ กำลังชักชวนอีกฝ่ายไปที่หอสมุดกับตน
“โหย มึงก็รู้กูชอบเข้าที่ไหนกันหละ” เจ้าตัวพยายามบ่ายเบี่ยงแหงหละ คนอย่างซันดิวนั้น ทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นแต่จะให้เข้าไปที่หอสมุดเพื่อไปนั่งดูหน้าหนังสือให้ลายตาเห็นจะยาก
“เถอะน่า คิดเสียว่าไปนั่งตากแอร์เย็นๆเป็นเพื่อนกูหน่อย” ไม่พูดแฉยแต่กลับจูงแขนแล้วกระชากอีกฝ่ายให้เดินตามไป
เมื่อเข้ามาถึงใจกลางหอสมุดดังกล่าวแล้ว ซันดิวแอบเผลอทำเสียงดังจนคนอื่นๆหันมามองเป็นตาเดียวกันหมดทั้งห้อง
“มึงจะลากกูมาทำไมเนี่ย”
“เห้ยเบาๆ เดี๋ยวบรรณารักษ์เขาก็ดุเอาหรอก”
“ก็มึงเล่นลากกูมาซะขนาดนี้” แต่ในระหว่างนั้นก็มีใครบางคนเดินมาชนที่ไหล่กว้างของซันดิวอย่างพละการ
“เอ่อ......ขอโทษนะคะ” เป็นหญิงสาวผมยาวดัดเป็นลอนๆ พร้อมกับทำสีออกน้ำตาลแก่ๆ ใบหน้าเธอดูขาวใส่จนเปล่งออร่าออกมา มันทำให้ซันดิวมองเธอตาแทบไม่กระพริบ เช่นเดียวกับอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆกัน แต่ฝ่ายนั้นเห็นจะคุมสติได้มากกว่า
“เห้ย พอได้แล้ว เห็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้เชียว” ภาคภูมิทักท้วง พรางสะกิดที่ไหล่อีกฝ่ายเพื่อให้ได้สติ
“เห้ย นิดนึงน่า ก็กูเป็นผู้ชายนี่หว่า”
“แล้วกูไม่ใช่หรือไง ไป ไปหาที่นั่งได้แล้ว” และทั้งสองก็เดินไปหาที่นั่งอ่านหนังสือทันที และที่นั่งทั้งสองเลือกนั้นคือที่ๆตรงกันข้ามกับหญิงสาวดังกล่าว
เมื่อนั่งอยู่ในหอสมุดได้พักใหญ่ๆแล้ว แต่สายตาของซันดิวก็ไม่วายที่จะหยุดมองหญิงสาวที่เดินชนตนเมื่อครู่นี้เลย สายตาของเจ้าตัวจับภาพของหญิงสาวที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือ บ้างก็หันหน้ามาคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะอย่างสนุกสนาน จนบางครั้งคุยกันเสียงดังเกินไปก็ถูกตำหนิจากเจ้าหน้าที่ดูแลชั้นหนังสือ จนทำให้แต่ละนางถึงกลับหน้าเจื่อนไปตามๆกัน แต่นั่นยิ่งทำให้ซันดิวมองเธออย่างไม่วางตา พรางทำหน้าละรื่นชื่นมื่นเมื่อเห็นว่าเธอเป็นตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ ..........คนอะไร น่ารักเสียจริง...... มีความคิดแวบหนึ่งที่เอ่ยชมอีกฝ่ายขึ้นมาในหัว แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเดินบุ่มบ่ามไปบอกเธอให้รู้แล้วรู้รอดไป
“เห้ย ไอ้ซัน เป็นอะไรมากปะเนี่ย” ภาคภูมิทักเพื่อนของตนพรางสลับกับมองไปที่โต๊ะของหญิงสาวผู้นั้น
“อันแน่ กูว่าละ นี่มึงสนใจเค้าหรอ”
“เออ กูอยากรู้จักเค้าหวะ”
“แต่กูจองแล้วนะ เธอคนนี้”
“ได้ไงวะ ในเมื่อกูเห็นก่อน และอีกอย่างเขาเดินมาสัมผัสที่ไหล่กูด้วย” ไม่พูดเฉยก่อนที่ซันดิวจะทำท่าปัดไปที่ไหล่ของตนอย่างประชด
“เหอะ ก็แค่เดินชนโดยบังเอิญ เขาไม่ได้ตั้งใจ มึงก็มโนไปโน่น” ภาคภูมิเอ่ยพรางส่ายหน้าให้
“เออ.....แล้วกูจะจีบเธอให้ได้ คอยดู”
“เอาเลย แล้วแต่มึง ตอนนี้กูจะอ่านหนังสือ” ภาคภูมิทำเป็นไม่สนเพื่อนของตน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
“เชอะหมั่นไส้” ไม่ทันไร ซันดินก็ทำหน้าสุดจะเซ็งพร้อมทั้งยื่นมือไปปิดปกหนังสือเพื่อแกล้งอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ได้กลับคืนมาคือ สายตาที่แข็งกร้าว
“ไอ้ซันดิว............ ถ้ามึงเบื่อก็กลับไปก่อนก็ได้นะ”
“หึ ใช่ซี่ กูมันหมดความหมายแล้วนี่”
เคล้ง! หลังจากนั้น เสียงของตลับใส่ดินสอของใครบางคนก็มาหล่นอยู่ใกล้ๆกับซันดิว เมื่อซันดิวก้มลงไปเก็บ มือของเขาก็ได้เผลอไปสัมผัสกับมืออันแสนนุ่มของหญิงสาวที่ตนหมายตามอง ในระหว่างนั้น สายตาของทั้งคู่ได้ประสานกันกินเวลาไปครู่หนึ่ง ในวินาทีนั้นเหมือนกับว่าซันดิวได้ยินเสียงของหัวใจตัวเองมันเต้นแรงจนไม่เป็นจังหวะ และทั้งตัวก็ยังแน่นิ่งราวกับโดนมนต์สะกด ยิ่งได้เห็นแววตาคู่ใสและใบหน้าเรียวได้รูปนั้นแล้ว ก็ยิ่งทำให้หัวใจของเขาแทบละลายกลายเป็นของเหลว เมื่อยามต้องกับความร้อน
“เอ่อ.....ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวพยายามจะขอบคุณเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจะช่วยเก็บของให้เธอ
“เอ่อ........ไม่เป็นไรครับ” ตอนนี้ทั้งตัวของซันดิวมันระส่ำระส่ายไปจนหมด ทำอะไรแทบไม่ถูก สติแทบไม่อยู่กับที่ นี่หรือที่เขาเรียกว่า พบเนื้อคู่ แต่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ก็ได้ตกอยู่ในสายตาของอีกคนที่กำลังทำท่าอ่านหนังสือโดยไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาคือคนที่ชอบท่อมมองตลอดเวลา หลังจากนั้นหญิงสาวก็เดินจากไป
“เอ่อเดี๋ยวก่อนครับ” ซันดิวรีบทักขึ้นอย่างลืมตัว และเธอเองก็หันมาพร้อมกับทำหน้าเลิกคิ้ว
“เอ่อ.........คือ...............เอ่อ...........” ซันดิวอ้ำๆอึ่งๆ ด้วยอาการเขินอายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยบางคำออกไป
“ชื่ออะไรครับ”
“ใบฟางคะ” หญิงสาวตอบชื่อกลับทันทีพร้อมส่งยิ้มหวานๆให้ก่อนที่จะเดินจากไหนก็ไม่รู้ สงสัยจะไปเข้าห้องน้ำ นั่นยิ่งทำให้ซันดิวดีใจใหญ่ราวกับสอบได้เอทุกวิชา
และหลังจากนั้น เรื่องราวของซันดิวและใบฟางก็เดินทางมาบรรจบกัน อย่างไม่คาดฝัน
จากวันนั้นแทบทุกวัน ซันดิวก็มักจะเดินทางมาที่หอสมุดของมหาลัยอยู่บ่อยๆ จุดประสงค์เดียวคือ เพื่อต้องการโอกาสที่จะได้เจอกับเธออีกครั้ง และก็เป็นอย่างนั้นทุกครั้งไป จนซันได้เริ่มเข้าไปตีสนิทกับเธอ จนเกิดเป็นความสนิทสนมกันเช่นเพื่อนคนหนึ่ง แต่ซันก็ยังไม่กล้าพอที่จะบอกความในใจไปเช่นเคย ยิ่งเจอใบหน้าที่สุดแสนน่ารักแล้ว ก็ยิ่งทำให้เขาประหม่าใจ
“นี่ซันดิว มาคลุกอยู่กับเราแบบนี้ แฟนไม่ว่าหรอ” ใบฟางเอ่ยขึ้น
“แฟนมีที่ไหนกัน ยังโสดคร้าบผม” ซันเริ่มพูดหยอกเย้า
“ไม่เชื่อ”
“ถ้าไม่เชื่อ ก็ให้ตามเช็คประวัติของเราได้เลยนะ หรือไม่ก็ลองถามจากไอ้ภูมิดูก็ได้นะ”
...................จะทำไงดีน้าเรา เมื่อไหร่จะกล้าพูดความในใจออกไปซักที...............
ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าซันจะเริ่มได้รับความสนิทสนมจากใบฟาง แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะบอกความรู้สึกที่มันยังอัดแน่นอยู่ภายในรอวันที่จะมีโอกาสเปิดออก แต่โอกาสนั้นไม่เคยมาถึงเขาเลยสักครั้ง
จนวันหนึ่ง ความอดทนอดกลั้นในความรู้สึกของลูกผู้ชายอย่างซันก็มีขีดจำกัด เขาตัดสินใจนัดใบฟางออกมาทานข้าวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านสยามสแควร์ ก่อนวันคริสมาสสองวัน
“ซัน นัดเรามามีอะไรหรือเปล่า ดูรนๆนะ มีอะไรไม่สบายใจบอกเราได้นะ”
“คือ............เอ่อ...............คือ.......”
“งั้นกินอะไรก่อนแล้วกันเนาะ ซันคงจะหิวจนพูดอะไรไม่ออก”
“คือเราชอบเธอ” ในระหว่างนั้น เหมือนทุกสิ่งอย่างรอบๆๆตัวของทั้งสองได้หยุดเคลื่อนไหว ใบฟางมองตาซันดิวอย่างจับจ้อง ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
นับตั้งแต่บัดนั้น จนปีถัดมา ซันดิวกับใบฟางก็ตกลงปลงใจคับกันเป็นแฟนอย่างเป็นทางการ ทั้งสองใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขท่ามกลางกระแสลมหนาวที่โบกพัดผ่านไป แต่พวกเขาก็พานพบความอบอุ่นเมื่อต้องอยู่ใกล้กัน
“หยุดปีใหม่ปีนี้ ไปเที่ยวกันนะ ฟาง” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ขณะที่ทั้งสองเดินจูงมือกันไปตามสวนสาธารณะ ที่แวดล้อมไปด้วยดอกไม้นาๆชนิด
“แล้วจะไปไหนดีกันดีหละ”
“ขึ้นเหนือไปรับลมหนาวดีมั้ย”
“เอาสิ ที่ไหนมีวันอยู่ด้วย ที่นั่นก็จะมีฟาง”
หลังจากนั้นต่อมาทั้งสองก็ได้พากันไปเที่ยวที่เชียงใหม่ ไปดูทะเลหมอก และเพิ่มบรรยากาศอันโรแมนติกต้อนรับลมหนาว ทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้คือช่วงเวลาแห่งความสุขภายใต้อากาศที่หนาวเย็น
ทว่า อันความสุขนั้นหาได้มีความยั่งยืนไม่ เมื่อเสพสุขจนหมดสิ้นก็ถึงคราวที่ต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เมื่อวันที่ซันกับใบฟางบอกรักกัน จะกลับกลายมาเป็นวันที่ทั้งสองต้องเลิกรากันในปีถัดมา
“ซันดิว........ใบฟางว่า เราเลิกกันเถอะ........”
ชายหนุ่มไม่เคยคาดคิดเลยว่า จะมาได้ยินคำๆนี้จากปากของแฟนสาว คนที่เขาปักใจรักอย่างสุหัวใจ จนมันยอมรับไม่ได้ถ้าอีกฝ่ายจะเป็นฝ่ายจากไป เพราะเห็นทางเดินใหม่ที่ดีกว่า มันเหมือนเมื่อวานมานี้เราเพิ่งบอกรักกัน แต่ก็ต้องมาบอกเลิกกันในวันนี้ ซึ่งมันเร็วมาก เร็วเกินกว่าจะตั้งตัวรับได้ทัน
ซันดิวนั่งเศร้าใจและร้องไห้จนน้ำตากลั่นออกมาเป็นสาย นานวันเข้าเขาก็ยังไม่หยุด จนใบหน้าของตนทรุดโทรมและแดงกล่ำ
“เห้ยซัน ทำใจให้ได้นะเว้ย” ภาคภูมิเอ่ยปลอบโยนเพื่อนของตน ขณะที่อีกฝ่ายนั่งจมกับความเศร้าบนม้านั่งหน้าหอพัก
“มึงก็พูดได้หนิ มึงไม่โดนแฟนทิ้งเหมือนกู มึงไม่เข้าใจหรอก ฮึก” เสียงสะอื้นไห้ยังคงดังอยู่จากชายหนุ่ม
“แต่กูเข้าใจมึงดี เพราะว่าการที่เราแอบรักเขาแค่ข้างเดียว เฝ้ามองเขามาโดยตลอด แต่เห็นเขาไปเป็นของคนอื่นโดยที่กูไม่มีสิทธิอะไรในตัวเขาเลย แค่นี้ มึงก็น่าจะรู้นะ ว่าใครเจ็บกว่ากัน” ภาคภูมิพูดเสียงอ่อยๆ ทำให้ซันหันมาสนใจในคำพูดของเขา
“นี่มึงแอบรักใครวะ บอกกูได้มั้ย”
“รอวันที่มึงหายเศร้าก่อนเถอะ เดี๋ยวกูจะบอก” ภาคภูมิ เอ่ยพร้อมกับตบไปที่บ่าของเพื่อนสนิทอย่างเบาๆ เพื่อปลอบใจ ก่อนจะลุกพรวดขึ้น
“กูเป็นกำลังใจให้มึงนะ ถึงแม้ว่ามึงจะถูกแฟนบอกเลิก แต่ก็ไม่ใช่ว่ามึงไม่มีใครนะ กูไปหละ”
พูดเสร็จ อีกฝ่ายก็เดินจากไป แต่ก็เดินไปไม่ถึงกี่ก้าวเขาก็หยุดแล้วหันมาที่ซันอีกรอบ
“อ้อ Merry christmas and happy new year ล่วงหน้านะ” เขาส่งยิ้มให้ หลังจากนั้นภาคภูมิก็เดินจากไปโดยไม่เหลียวหลังอีก ระหว่างนั้นก็ทำให้ซันนั่งนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้มทันที
“เห้ย ไอ้ภูมิ รอกูด้วย” จากนั้น เจ้าตัวจึงลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วและวิ่งตามอีกฝ่ายไป
อันความทุกข์เองก็เช่นกัน มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต หากแต่เราเพียงมองความสุขอันเล็กๆน้อยๆจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวของเรา ไม่แน่สิ่งนั้นอาจจะนำมาซึ่งความสุขที่ยิ่งใหญ่แห่งปีก็ได้
สุขสันวันปีใหม่ล่วงหน้า ครับ/ค่ะ
แล้วพบกันใหม่ใน ภาคต่อ