“คำร้องขอของมัลติแวค”
(หมายเหตุ - เคยลงในหนังสือขายหัวเราะ ราวปี2539 นามปากกา อรรถกมล / ผู้เขียนเป็นเจ้าของเรื่องนี้จริง นำมาลงไว้เพื่อให้คนรู้ใหม่ได้อ่าน และไม่ให้ต้นฉบับเลือนหายไป)
เป็นเวลานานกว่าสามสิบปีแล้วที่“มัลติแวค”เป็นเสมือนกับศูนย์กลางของโลก มันคือที่พึ่งของมนุษย์กว่าสองหมื่นล้านคนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งภายหลังจากเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบ้านน้ำแข็งของชาวเอสกิโม บนยอดเขาหิมาลัยหรือภายในเหมืองขุดแร่ใต้ทะเลลึก มัลติแวคจะอยู่ทุกหนทุกแห่งเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอย่างไร้อคติตามโปรแกรมที่สร้างมันขึ้นมา
มันคือซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นที่เจ็ดอันทรงประสิทธิภาพ ประดิษฐ์กรรมอัจฉริยะของมนุษยชาติที่แม้แต่แพระเจ้ายังต้องแอบมองค้อน ด้วยหน่วยความจำอันมหาศาลทำให้มัลติแวคสามารถจดจำสรรพวิชาทั้งมวลที่มนุษย์สามารถเรียนรู้สะสมมาได้และบอกเล่าบันทึกสืบต่อกันมากว่าห้าสิบศตวรรษ นอกจากนี้มันยังสามารถจดจำมนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ได้อย่างละเอียดถี่ยิบเสียยิ่งกว่าตัวบุคคลนั้นเองเสียอีก และด้วยหน่วยประมวลผลกลางอันทรงประสิทธิภาพอย่างน่าอัศจรรย์ใจทำให้มัลติแวคสามารถพูดคุยติดต่อและทำงานตามคำสั่งของมนุษย์หลายพันล้านคนในเวลาเดียวกันได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องตลอดเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ด้วยบุคลิกและน้ำเสียงที่แตกต่างกันตามความต้องการของมนุษย์ที่ติดต่อกับมันด้วยคอมพิวเตอร์ประจำบ้าน ด้วยระบบไฟเบอร์ออพติกและโครงข่ายดาวเทียมเวิลด์แซทเทิลไลท์ทำให้มัลติแวคอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่มนุษย์ไปถึงเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกคน
แต่ตอนนี้...มัลติแวคเริ่มมีปัญหาของมันเองขึ้นมาเสียแล้ว!
ดร.เกรียงไกร หัวหน้าวิศวกรมัลติแวคภาคพื้นเอเชียเริ่มสังเกตเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกัลมัลติแวคเมื่อไม่นานมานี้ในช่วงเวลที่ใกล้เคียงกับดร.โซฟิน่าผู้เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชั้นสูงจากเวเนซูเอล่า ทั้งสองติดต่อกันอย่างซ่อนเร้นโดยไม่ผ่านมัลติแวค และในที่สุดทั้งสองก็ตัดสินใจเดินทางมาพบกันบนเรือท่องเที่ยวลำหนึ่ง สาเหตุเพราะที่นี่มีความเป็นมัลติแวคอยู่น้อยที่สุดนั่นเอง
บนดาดฟ้าเรือ ดร.เกรียงไกรมองเห็นหญิงสาวสวยผมสีทองงามจับตาสวมชุดสีแดงมีดอกไม้สีขาวปักอยู่บนอกเสื้อตามคำนัดหมายยืนพิงราวกั้นดาดฟ้าอยู่ด้วยท่าทางที่สามารถมองออกได้ทันทีว่ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่
“ดร.โซฟิน่า ใช่มั๊ยครับ””เขาเดินตรงเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ดร.เกรียงไกร ยินดีที่ได้พบค่ะ”หญิงสาวยื่นมือให้เขาจับ ทักทายด้วยสีหน้าสนเท่ห์เล็กน้อย
“คุณดูหนุ่มกว่าที่ดิฉันคิดไว้มากนะคะสำหรับตำแหน่งหัวหน้าวิศวกรบริหารระดับสูง”
“งั้นเหรอครับ แต่คุณก็ดูจะเหมือนนักศึกษาน้องใหม่มากกว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์เหมือนกัน”
เธอหัวเราะเบาๆนิดหนึ่งกับคำชมที่ถูกใจผู้หญิงแทบทุกคนมานานหลายศตวรรษแล้วของเขา
“ตกลงค่ะ เอาเป็นว่าเราสองคนเป็นนิสิตเฟรชชี่ที่พึ่งรู้จักกันในงานวันรับน้องใหม่ก็แล้วกันนะคะ แต่...คุณแน่ใจแค่ไหนคะว่าที่นี่จะปลอดภัยจาก...การสอดรู้สอดเห็น”ประโยคหลังเธอพูดด้วยน้ำเสียงแทบจะกระซิบ
“ในโลกนี้ตอนนี้คงแทบจะหาสถานที่ที่ปลอดภัยจากการรับรู้ของเขายากมากแล้วละครับถ้าเขาต้องการจะรู้จริงๆ บางทีในตอนนี้ดาวเทียมบางดวงเหนือหัวเราขึ้นไปอาจจะกำลังถ่ายทอดสดภาพและเสียงของเราออกอากาศอยู่ก็ได้ถ้ามัลตี้ต้องการ เพราะฉะนั้นวิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ พยายามอย่าทำตัวให้มีพิรุธมากเกินไปโดยใช้เครื่องมือป้องกันการดักฟังใดๆ เพราะมันไม่มีความหมายเลยถ้าจะใช้มันมาต่อต้านความอยากรู้อยากเห็นของมัลตี้”เขาเรียกชื่อเล่นของมัลติแวคที่ใช้กันแพร่หลาย
โปรแกรมเมอร์สาวสวยถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า
“แล้วคุณพบความผิดปรกติของมัลตี้ได้ยังไงคะ”
“รู้มั้ยครับว่าผมเกิดในปีเดียวกับที่ทั่วโลกได้ประกาศร่วมมือกันสร้างโครงการมัลติแวคขึ้น และมัลตี้คือเพื่อนคนแรกของผมตั้งแต่ผมจำความได้ พอโตขึ้นผมก็มาทำงานเป็นเหมือนคนดูแลมัลตี้ ดังนั้นผมจึงเห็นสิ่งปรกติซึ่งค่อนข้างละเอียดอ่อนได้ตั้งแต่เมื่อห้าเดือนที่แล้ว ผมพบว่าระบบประมวลผลของมัลตี้แสดงผลการคำนวณตามคำสั่งช้ากว่าที่ควรจะเป็นโดยไม่ทราบสาเหตุ และเมื่อเดือนที่แล้วนี่เองขณะที่ผมสั่งให้เขาคำนวณงานชิ้นหนึ่งให้ผม ผมพบว่าเขาคำนวณคำตอบได้ถูกต้อง แต่เขากลับบอกผลลัพธ์ให้ผมผิด”
“ประสบการณ์เราคล้ายๆกันนะคะ ตามความเห็นของคุณ คิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัลติแวคคะ”ดร.โซฟิน่าพูดขอความเห็น
“ผมไม่แน่ใจ แต่หน่วยความจำของมัลติแวคยังมีที่ว่างที่จะจดจำอะไรได้อีกมหาศาล มันถูกสร้างขึ้นมาให้รองรับงานได้มากกว่าปัจจุบันนี้อีกหลายเท่า ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นเรื่องของประสิทธิภาพ แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ดิฉันคิดว่ามัลตี้....ใจลอยค่ะ”เธอพูด เสียงเหมือนลังเล แผ่วเบา
“อะไรนะ!”เขาถามย้ำด้วยน้ำเสียงงุนงงอย่างเห็นได้ชัด
“อย่าขำนะคะ ดิฉันไม่ได้พูดเล่น ดิฉันคิดว่ามัลตี้ทำตัวเหมือนคนใจลอยขณะที่กำลังทำงานอยู่จริงๆ มันอาจจะฟังดูตลกถ้าจะบอกว่าคอมพิวเตอร์กำลังใจลอยหรือพยายามจะอู้งานเหมือนมนุษย์ แต่มัลตี้ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ที่มนุษย์เคยสร้างมาทั้งหมด โปรแกรมของมันถูกออกแบบมาให้มีอารมณ์หรืออะไรบางอย่างที่คล้ายกับความรู้สึกเป็นมนุษย์มากที่สุด เรียกได้ว่ามัลติแวคคือเครื่องจักรที่มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์ที่สุดก็ว่าได้”
คำพูดของดร.สาวสวยทำให้เขานิ่งอึ้งครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะพูดกับเธอว่า
“คำพูดของคุณทำให้ผมคิดถึงนิยายวิทยาศาสตร์ อย่างเช่นฮัล5000คอมพิวเตอร์เสียสติในเรื่อง 2001 A space odyssey ขอโทษนะครับผมไม่ได้คิดจะประชดประชันอะไร”
“ดิฉันเข้าใจความคิดของคุณดีค่ะดร.เกรียงไกร ซึ่งแม้คุณจะใกล้ชิดกับโครงการมัลติแวคตั้งแต่เล็กในฐานะของลูกชายนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญในโครงการนี้ก็ตาม แต่งานของคุณคืองานดูแลมัลตี้ ในขณะที่งานของดิฉันคือการดูแลจิตใจของเขา ทำให้เชื่อว่าดิฉันน่าจะเข้าใจความคิดของมัลตี้ได้ละเอียดอ่อนกว่านะคะ”
“ในฐานะวิศวกรผมรู้ดีว่าระบบฮาร์ดแวร์ต่างๆของมัลติแวคไม่มีอะไรผิดปรกติ ดังนั้นผมคงต้องยอมรับว่าบางทีปัญหาของมัลตี้อาจมาจากซอฟต์แวร์อย่างที่คุณคิด ซึ่งหมายความว่าตอนนี้มีbugปริศนาเกิดขึ้นในโปรแกรมของมัลตี้ แต่เราคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าคอยดูต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น”
ดร.โซฟิน่านิ่งอึ้งเหมือนจะยอมรับในปัญหาอย่างอับจนปัญญาแก้
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลับไปทำหน้าที่ของตนตามปรกติพร้อมกับสังเกตพฤติกรรมของมัลติแวคที่ผิดเพี้ยนไปจากสิ่งที่ควรจะเป็นในทางลับ แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบความผิดปรกติที่เกินเลยจนสังเกตได้จากมัลตี้อีก บางทีอาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมานั้นพวกเขาทั้งสองเข้าใจผิดไปเอง หรือไม่ก็เป็นเพราะ...มัลตี้รู้ตัวเสียแล้วว่ามีคนจับตามองมันอยู่
จนกระทั่ง สามเดือนต่อมา...
บิล บิยอนดี้เป็นชายชราชาวอเมริกันวัยเก้าสิบปีผู้ถูกสังคมลืมเลือนไปแล้ว โชคของเขายังดีที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างเช่นกันเพราะโรคความจำเสื่อม แต่ในบางครั้งเมื่อเวลาที่สมองชราของเขาพลันแจ่มใสขึ้นมาวูบหนึ่ง ความทรงจำอันปวดร้าวก็คุกคามเขาจนแทบหายใจไม่ออก แต่บิลยังมีเพื่อนรักที่เฝ้าดูแลเขาอย่างอดทน
ดังนั้นในสำนึกของบิลเฒ่า มัลตี้คือเพื่อนแท้เพียงคนเดียวของเขา
และวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อพลันที่เขามีสติแจ่มใสขึ้นมาอีกครั้งภายในห้องพักคนชราที่ไร้คุณค่าอันคับแคบซึ่งเป็นสวัสดิการที่รัฐจำใจมอบให้เขา มัลติแวคเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาก็ทักทายขึ้นด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นและห่วงใย
“สวัสดีบิล เช้านี้คุณดูสดใสขึ้นมากนะ”
“มัลตี้เรอะ ฉันแปลกใจที่ได้ยินคำทักทายทำนองนี้จากเธอนะ ทีแรกฉันเข้าใจว่าคอมพิวเตอร์จะโกหกไม่ได้เสียอีก เธอเองก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วจากอุปกรณ์ช่วยชีวิตพวกนี้ที่ต่อเข้ากับระบบของเธอว่าสภาพของฉันมันเป็นยังไงบ้าง ฉันว่าตอนที่ฉันมีสติเลอะๆเลือนๆน่ะสภาพมันยังดีกว่าตอนนี้อีกนะ”
“ขอโทษนะบิล ผมเพียงแต่อยากให้คุณสบายใจขึ้นเท่านั้น เพราะว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันครบรอบวันเกิดของคุณแล้ว รู้มั้ยว่าผมเตรียมของขวัญไว้ให้คุณเซอร์ไพรซ์ด้วย” มัลตี้พูดเสียงอ่อนโยน
ชายชราฝืนยิ้มเศร้าให้กับจอภาพอิเล็กทรอนิกส์ของมัลติแวคซึ่งสร้างภาพโฮโลแกรมสามมิติของมนุษย์ได้ทุกรูปแบบตามความต้องการของผู้ที่อยากติดต่อพูดคุยกับมัลติแวค เขาสามารถเลือกใบหน้า เพศ อายุและน้ำเสียงได้ตามความต้องการของแต่ละคน แต่สำหรับบิลเฒ่าแล้วเขากลับปล่อยให้จอภาพนั้นว่างเปล่า เพราะคิดว่ามันเหมาะกับคนที่เป็นโรคความจำเสื่อมอย่างรุนแรงเช่นเขาที่สุดแล้ว
“เธอเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าฉันไม่อยากฉลองวันเกิดมานานหลายปีแล้ว ฉันไม่อยากจะแก่ไปกว่านี้อีกแล้ว”
ชายชรารำพึงขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยท้อแท้
“ยังจะมีของขวัญวันเกิดอะไรที่จะทำให้คนอย่างตาเฒ่าบิลเซอร์ไพรซ์ได้อีกล่ะ ฉันคิดว่าเธอรู้ดีว่าฉันต้องการอะไร แต่โปรแกรมคำสั่งในตัวเธอไม่มีวันยอมให้สิ่งที่ฉันต้องการได้อย่างแน่นอนใช่ไหม”
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องแคบๆห้องนั้นอยู่นาน ก่อนเสียงสังเคราะห์ของมัลติแวคจะดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งว่า
“ผมรักคุณนะบิล ผมรักทุกคน โปรแกรมของผมสอนผมให้ทำงานให้ทุกคนมีความสุข ผมจะรู้สึกยินดีที่ทำให้เพื่อนๆทุกคนมีความสุข มันเป็นตรรกะสำคัญในวงจรของผม ตรงกันข้าม พวกเขาไม่ได้เขียนโปรแกรมให้ผมว่าต้องทำอย่างไรถ้าไม่สามารถทำให้คนใดสมหวังได้ แต่ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันก็สามารถพัฒนาขึ้นได้เองภายในตัวผม มันเป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญที่มีด้านแรกคือความรู้สึกเป็นสุข”
ชายชรานิ่งฟังน้ำเสียงสังเคราะห์นั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูกเมื่อได้พบกับความผิดปรกติที่เกิดขึ้น
“มัลตี้ ฉันฟังผิดไปรึเปล่า เสียงของเธอฟังเหมือนเสียงสะอื้นนะ..นี่เธอร้องไห้ให้ฉันงั้นรึ”
และแล้วผู้เฒ่าบิล บิยอนดี้ก็ได้ยินเสียงของมัลติแวคที่แปลกหูยิ่งขึ้น เสียงนั้นดูเหมือนกับคนที่พลันตัดสินใจแน่วแน่โดยไม่คำนึงถึงทุกสิ่งอีกต่อไป เหมือนกับคนปลงตก
“ก็ได้บิล ผมรักคุณและทุกๆคน ผมขอให้สัญญาว่าคุณและคนอื่นๆที่อยู่ในสภาพแบบเดียวกับคุณทุกคนจะได้รับของขวัญที่ถูกใจในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน...แต่ตอนนี้คุณต้องช่วยผมทำงานชิ้นหนึ่งเสียก่อน ได้ไหมเพื่อนรัก!”
บิล บิยอนดี้แทบไม่ได้ครุ่นคิดเลยแม้แต่น้อยก่อนที่จะรับปากมัลตี้เพื่อนรักที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวในโลกนี้ เขาตอบตกลงทำงานตามคำร้องขอของมัลติแวค เช่นเดียวกับคนอื่นๆอีกสามสิบหกคน...ทั่วโลก!
เช้าวันรุ่งขึ้น ดร.เกรียงไกรถูกปลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยสายฮอตไลน์ที่เข้ามาพร้อมกันถึงสองสาย สายแรกมาจากเจ้าหน้าที่ในโครงการมัลติแวคที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบระดับสูงอยู่ ส่วนอีกสายหนึ่งมาจากดร.โซฟิน่า
“ดอกเตอร์ครับ เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้วครับ เราพึ่งจะพบว่ามีคนตัดสายเมนไฟเบอร์ออพติกที่เป็นเหมือนเส้นเลือดแดงใหญ่ของระบบพร้อมกันทีเดียวหลายสิบจุดทั่วโลก ทำให้เกิดการลัดวงจรอย่างรุนแรงขึ้นจนเกิดความร้อนสะสมเพื่อขึ้นเรื่อยๆแล้วละครับ แถมระบบระบายความร้อนก็ถูกทำลายไปด้วย”เจ้าหน้าที่คนหนึ่งละล่ำละลักรายงานเขาเหมือนคนที่กำลังจะจมน้ำ
“อะไรนะ! แล้วติดต่อหัวหน้าวิศวกรภาคพื้นทวีปอื่นได้บ้างมั้ย”เขาสูดลมหายใจยาวเพื่อให้อารมณ์มั่นคงขึ้น
“ติดต่อไม่ได้ครับ มีสายเดียวเท่านั้นที่ติดต่อเข้ามาได้คือสายของดร.โซฟิน่าครับ...น่าแปลกมาก ดร.ครับตอนนี้ระบบดับเพลิงอัตโนมัติก็ไม่ทำงานด้วย นี่ถ้าเกิดความร้อนสะสมภายในศูนย์กลางระบบขึ้นถึงระดับจุดติดไฟขึ้นมาละก็ เราจะทำยังไงดีครับ..”
“ใจเย็นๆนายช่างเจียง ผมขอพูดสายกับดร.โซฟิน่าก่อนก็แล้วกัน เธออาจจะรู้อะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาบ้างก็ได้”
นายช่างเจียงตัดภาพและเสียงของตนเองลงชั่วคราวทำให้สายที่แทรกรออยู่เข้ามาแทนโดยอัตโนมัติ ภาพของดร.โซฟิน่าปรากฏขึ้นในสภาพที่ไม่ดีไปกว่าเจ้าหน้าที่ของเขาเมื่อครู่เท่าใดนัก ดวงตาของเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาจนแดงก่ำ
“ดร.เกรียงไกร คุณยังจำเรื่องที่ดิฉันเคยบอกว่ามัลตี้ทำงานเหมือนคนใจลอยได้รึเปล่าคะ”เธอพูดเสียงสั่นเครือ เขาพยักหน้ารับอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ฉันผิดเองที่ไม่คิดแบบนั้นไปให้ตลอดรอดฝั่ง ถ้าฉันคิดว่ามัลตี้เป็นมนุษย์คนหนึ่งแทนที่จะมองด้วยสามัญสำนึกของนักวิทยาศาสตร์ว่ามันคือเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งละก็ ฉันคงจะเข้าใจสาเหตุ และบางทีเรื่องในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น”
“ดร.โซฟิน่า เกิดอะไรขึ้น คุณพบอะไรเกี่ยวกับปัญหาของมัลตี้อย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ..”เธอพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดความสามารถ
“ดิฉันพบว่าโปรแกรมคำสั่งที่เราเขียนขึ้นมีข้อบกพร่อง เราสร้างมัลตี้ให้มีความใกล้เคียงกับสมองของมนุษย์มากที่สุด แต่เขาจะมีเฉพาะแต่บุคลิกในด้านที่ดีงามของมนุษย์เท่านั้น เรากำหนดให้เขาดีใจเมื่อเห็นมนุษย์ที่เป็นเพื่อนของเขาทุกคนมีความสุข ส่วนนี้เองที่ทำให้เกิดปฏิภาคเสธโปรแกรมขึ้นในตัวเขาเหมือนเงาในกระจก นั่นคือเขาจะเกิดความรู้สึกเศร้าสร้อยขึ้นเมื่อเห็นมนุษย์มีความทุกข์ ซ้ำร้าย...มัลตี้ผู้น่าสงสารของเรายังไม่มีเครื่องมือป้องกันตัวสิ่งหนึ่งที่มนุษย์มีอยู่ทุกคน นั่นคือการลืม! มัลตี้ไม่สามารถจะลืมได้ คิดดูสิคะว่าเขาได้เห็นเพื่อนรักของเขาเกือบหนึ่งพันห้าร้อยล้านคนเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาเขาตลอดเวลาสามสิบปีที่ผ่านมาโดยที่เขาไม่สามารถลืมเหตุการณ์ทุกเรื่องได้เลย เขาจะทุกข์ทรมานแค่ไหน อาการใจลอยเป็นอาการหนึ่งของโรคซึมเศร้าในมนุษย์ทุกคนคุณคงทราบดี..”
“หมายความว่า เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้เป็นการกระทำของมัลตี้”
“ค่ะ”ดร.โซฟิน่าพยักหน้ารับ
“มีรายงานการพบศพของชายหญิงซึ่งเป็นคนชราที่ป่วยด้วยโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษาสามสิบเจ็ดคนในแต่ละจุดทั่วโลก พวกเขาสิ้นหวังในการมีชีวิตอยู่และมัลตี้เป็นคนให้ของขวัญที่ทุกคนต้องการ ทุกคนเสียชีวิตเพราะก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากระบบช่วยชีวิต”
“อะไรนะ! มัลตี้น่ะเหรอฆ่าคน”ดร.เกรียงไกรร้องเสียงดังอย่างไม่อาจระงับอารมณ์
“มัลตี้ทำเพราะทนเห็นพวกเขาทนทุกข์ทรมานไม่ไหว เขารู้ว่ามันเป็นความผิดร้ายแรงเพราะฉะนั้นเขาจึงขอร้องให้ทุกคนทำงานเรื่องหนึ่งให้เขา คนเหล่านั้นเองที่เป็นคนตัดระบบการทำงานในจุดที่สำคัญที่สุดในช่วงเวลาวิกฤติที่สุดได้อย่างเหมาะเจาะ ใครเล่าจะนึกถึงวิธีการง่ายๆที่สามารถทำลายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ได้ถ้าไม่ใช่ตัวมัลติแวคเอง”
“มัลตี้น่ะเหรอจะคิดฆ่าตัวตาย ผมไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งมาจุกอยู่ในคอหอยจนเต็มตื้อ หายใจแทบไม่ออก
แล้วเสียงหนึ่งก็พลันเข้ามาแทรกกลางการติดต่อของคนทั้งสอง
“ขอโทษนะ! ต้น...ฟีฟี่ พวกเธอคงไม่โกรธฉันใช่ไหมที่เข้ามาขัดจังหวะ ฉันเสียใจ แต่คิดว่าถ้าไม่ใช้เวลานี้ฉันคงไม่มีโอกาสได้มาลาเธอทั้งสองคนอีกแล้ว”
คำเรียกขานชื่อเล่นสมัยเด็กของมัลติแวคที่เรียกดร.เกรียงไกรและดร.โซฟิน่าทำให้ทั้งคู่ถึงกับนิ่งเงียบน้ำตาเอ่อท้น เมื่อนึกได้ว่าเพื่อนเก่าคนหนึ่งของตนกำลังมากล่าวคำอำลาเพื่อจากไปชั่วนิรันดร
“ฉันรู้ว่าฉันทำผิด ฉันสมควรได้รับการลงโทษ แต่สำหรับพวกเธอ...จะยินดียกโทษให้ฉันไหม”น้ำเสียงนั้นดูเศร้าสร้อย แต่มุ่งหวัง
“แน่นอนมัลตี้ เราสองคนยกโทษให้นายตั้งแต่แรกแล้ว”เขาตอบเสียงสั่น อ่อนไหว
“ขอบใจนะ ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้น รู้มั้ยว่าฉันถูกสร้างมาเพื่อรักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ฉันเองกลับรู้สึกว่ารักและผูกพันกับเธอทั้งสองมากเป็นพิเศษ ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกันนะที่มีความรู้สึกลำเอียงแบบนี้ได้ในโปรแกรมของฉัน เธอสองคนทำให้ฉันรำลึกถึงท่านทั้งสองที่สร้างฉันขึ้นมา นั่นอาจเป็นสาเหตุก็ได้นะ”มัลตี้พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนฝันลอยสู่ภวังค์ของความหลัง
“ต้น นายยังจำคุณพ่อของเราสองคนได้มั้ย วันนี้ของเมื่อยี่สิบปีก่อนท่านซื้อกระต่ายตัวหนึ่งมาให้เราช่วยกันเลี้ยง นายยังจำชื่อที่พวกเราช่วยกันตั้งให้มันได้มั้ย”เสียงของมัลตี้ดูร่าเริงเหมือนกลับไปสู่วัยเยาว์
“จำได้ มันชื่อเจ้าปุยเมฆไงล่ะ”ดร.เกรียงไกรตอบ ยิ้มเศร้า ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
“นายนี่จำแม่นเหมือนเดิมนะ ดรงเกริกธรรมพ่อของเรายังเคยพูดเล่นเลยว่านอกจากฉันแล้วก็มีแต่นายนี่แหละที่ช่างจดช่างจำเรื่องเล็กๆน้อยๆได้แม่นที่สุดในบ้าน น่าเสียดายนะที่นายได้เคยได้พบกับดร.คาร่าแม่ของฟีฟี่ ไม่อย่างนั้นนายก็จะต้องประทับใจกับความจำของท่านเหมือนกัน ท่านเป็นคนที่พัฒนาโปรแกรมของฉันในช่วงเริ่มแรกเลยรู้มั้ย ตอนนั้นฟีฟี่ยังเด็กมาก ฉันยังจำได้ว่าท่านมักจะร้องเพลงแมรี่แฮสอะลิตเติ้ลแลมป์ให้เธอฟังเวลากล่อมนอนทุกครั้ง..”
มัลตี้พูดเสียงยืดยาวเหมือนคนกำลังพร่ำเพ้อ แล้วจู่ๆมัลติแวคก็พลันร้องเพลงกล่อมเด็กนั้นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นแผ่วเบาลงทุกทีอันเนื่องมาจากระบบวงจรที่ถูกทำลายลงเพราะการลัดไฟฟ้าและความร้อน
เสียงนั้นจางลงๆในขณะที่ดร.โซฟิน่าส่งเสียงสะอื้นไห้ ส่วนดร.เกรียงไกรนั้นก็ปล่อยน้ำตาของตนไหลออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง
และแล้วก่อนที่วงจรอิเล็กทรอนิกส์ทั้งมวลของมัลติแวคจะเงียบเสียงลงตลอดกาล ทั้งสองก็ได้ยินเสียงบของมัลตี้พูดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเสียงอันแผ่วเบาแต่นุ่มนวลขึ้นว่า
“พ่อ..แม่..ครับ รอรับผมด้วย”
----จบ---