รักสองเราหัวใจสองแผ่นดิน
บทที่ ๑
พระธาตุศรีสองรัก เจดีย์ก่ออิฐถือปูนมีอายุยาวนานมากว่าร้อยปีจนถึงปัจจุบัน...
เด็กชายกับเด็กหญิงวัยราวเดียวกันทั้งคู่นั่งคุกเข่า พนมมือไหว้หันหน้าแหงนมองไปยังองค์เจดีย์ ศรีสองรักอยู่เบื้องหน้าของทั้งสอง ในพุ่มมือของทั้งคู่มีกรวยที่ทำจากใบตองใส่ดอกไม้ธูปเทียนไว้ข้างใน
“ภูผากับสีดาพวกเราทั้งสองจะขอครองรักคู่กันตลอดไป”เด็กชายเอ่ยนำก่อน
“สีดากับภูผาขอครองรักคู่กันตลอดไป”เด็กหญิงกล่าวตาม
เมื่อกล่าวคำสาบานจบทั้งคู่หันมาจ้องมองตากัน แม้แววตาทั้งเด็กชายภูผากับเด็กหญิงสีดายังไร้เดียงสา แต่ทว่าคำกล่าววาจาของทั้งสองดูเหมือนว่ามีความจริงใจ ด้วยสัจจะต่อความรักผูกพันที่ใสบริสุทธิ์ แล้วทั้งคู่ก้มลงกราบพร้อมกันครบสามครั้ง แล้ววางกรวยดอกไม้บนเชิงฐานพระธาตุโดยเสมือนมีเจดีย์ศรีสองรักเป็นพยานของเขาและเธอ
...................................................
ขณะเดียวกันย้อนกาลเวลาผ่านไปในช่วงสมัยพระยาไชยเชษฐาธิราชครองเมืองเวียงจันทบุรีศรีสัตนาคนหุตตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิครองราชย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
กลางป่าเมืองชายแดนระหว่างทางในขบวนเสด็จพระเทพกัลยากำลังมุ่งหน้าเดินทางไปยังกรุงศรีสัตนาคนหุต ขบวนเกวียนม้าไพร่พลสาวใช้ ทาสบริวารรวม ๑๐๐ เคลื่อนยาวเป็นริ้วขบวนท่ามกลางแสงแดดร้อนจัด แม้ว่าตะวันจะคล้อยลอยต่ำก็ตาม
“อ้าว หยุดพักกันก่อนค่อยเดินทางต่อไป”ขุนนางพระยาลือ ผู้เป็นนายทัพคุมขบวนออกคำสั่งขณะนั่งบนหลังม้า
“ท่านพระยาขอรับ พวกเราจะพักอยู่นานไปมิได้ เดียวจะมืดค่ำแล้วจะเสียการนะขอรับ”
ทหารหนุ่มวัยฉกรรจ์นามว่าภูผา เขามีใบหน้าคมเข้ม ผิวคล้ำกร้าน ร่างกายแกร่งเปลือยหน้าอกเห็นมีรอยสักยันต์บนแผ่นอก เขาไม่สวมเสื้อ มีสายสร้อยหนังแขวนวัตถุกลมสีดำห้อยคอของเขา รูปร่างสง่างามยิ่งนักของเขา เมื่อควบม้ามาเคียงกับม้าของพระยาลือ ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยที่จะให้ขบวนพักตอนนี้
“เถอะหนา ให้ไพร่พลได้พักพอมีเรี่ยวมีแรงคงมิเสียการใดดอกนะ หลวงภูผา”นายทัพย้ำความคิดเดิม
หลวงภูผา ทหารเอกแห่งศรีสัตนาคนหุต เขาก็คงไม่แย้งอะไรอีกหากแต่ทำตามคำสั่งของพระยาลือบัดนั้น
“พวกเราหยุดพักได้”ทหารเอกร้องบอกไพร่พลทั้งหลาย
ขบวนเสด็จหยุดพักทันที เหล่าไพร่พล สาวใช้ ทาสก็แยกไปหาที่หลบแดดร้อนตามใต้ต้นไม้บ้าง พุ่มไม้บ้าง เท่าที่จะเห็นมีอยู่บริเวณนี้
เกวียนเล่มที่มีประทุนหลังคานั้น ซึ่งพระเทพกัลยาประทับอยู่ ก็ได้หยุดพักเช่นเดียวกัน เหล่าสนมสาวใช้พวกนางก็เข้าไปปรนนิบัติพระนางโดยพลัน
พระนางเป็นพระราชธิดาของพระมหาจักรพรรดิแห่งกรุงศรีอยุธยา ด้วยพระยาไชยเชษฐาธิราชได้ส่งขบวนมารับพระนางกลับสู่ศรีสัตนาคนหุต เพื่อเป็นดองทองแผ่นเดียวกันไปเป็นมเหสีแห่งล้านช้าง
“หลวงภูผา ตอนนี้เรามาถึงแห่งแคว้นแดนเมืองใดแล้ว”เสียงของพระเทพกัลยาเอ่ยลอดผ่านม่านจากซุ้มประทุนบนเกวียนประทับอยู่ เมื่อหลวงภูผาควบม้าย่องมาประกบเทียบเคียงข้างของเกวียน
“ตอนนี้เรามาถึงตำบลมะเริง นอกด่านเมืองเพชรบูรณ์ขอรับ”เขาตอบ
ขณะที่พระเทพกัลยา นางแหวกม่านขึ้นเปิดหน้าต่างประทุน จึงมองเห็นใบหน้ารูปหัวใจ นัยน์ตาดำสีนิล จมูก ริมฝีปากช่างได้รูปลักษณ์ลงรอยงามปานรูปปั้นในเทพนิยาย
หลวงภูผามองเห็นได้ใกล้ชิด รอยงามนั้นถึงทำให้หัวใจของทหารเอกสั่นรัวเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ
พลันใดนั้น ก็ปรากฏกลุ่มชายฉกรรจ์มีผ้าคลุมหน้ามิดชิด พวกมันไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าขัดเตี่ยวทุกคนถือดาบในมือ พวกมันซุ่มกระจายตามป่าละเมาะข้างทางรออยู่นานแล้ว พอเห็นเจ้าหัวหน้าโบกมือเป็นสัญญาณ กองกำลังดูคล้ายกับโจรป่าที่คอยจะปล้นสะดมชาวบ้านที่ผ่านไปมา ก็โห่ร้องวิ่งกรูตวัดดาบแกว่งมาแต่ไกลเข้าตะลุมบอนหมายมั่นจู่โจมขบวนเสด็จทันที
“ฆ่ามัน ฆ่ามัน กุดหัวให้หมด” เจ้าหัวหน้าตะโกนสั่ง
เหล่าทหารองค์รักษ์ในขบวนเสด็จ ซึ่งเป็นทหารชาวเมืองมาจากกรุงศรีสัตนาคนหุต ก็ตื่นตัวเคลื่อนไหวเตรียมรับมือต่อสู้ป้องกันตามสัญชาตญาณของเหล่านักรบ รวมทั้งหลวงภูผายอดทหารเอกแห่งล้านช้าง เขาก็ดึงสายบังเหียนบังคับม้าให้อยู่ท่าพร้อมโรมรันกับผู้บุกรุก
“พวกมันเป็นใคร ช่างบังอาจนัก” พระเทพกัลยาเอ่ยวาจากร้าว
“พระนางหลบไปอยู่ข้างในก่อนเถอะขอรับ” ภูผาบอกเสียงรัว
พลันใดนั้นพระยาลือ ก็ควบม้าหาหลวงภูผา “พวกไหนกัน หลวงภูผา”
“ท่าทางเป็นพวกโจรป่า ขอรับ”
พวกโจรป่าคนหนึ่งมันเงื้อมดาบวิ่งตรงมาที่เกวียนประทับของพระเทพกัลยา หมายที่จะใช้ดาบคมของมันตวัดฟันใส่ภูผา แต่มันพลาดคอขาดกระเด็นหลุดจากบ่าเลือดแดงฉานฉีดพุ่งจากคมดาบของยอดทหารเอก
หลวงภูผา ควบม้าไปช่วยอีกด้านหนึ่ง ไล่ฟันพวกโจรป่าอย่างบ้าคลั่ง น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟด้วยกำลังของทัพคุมขบวนเสด็จทหารดีมีไม่ถึงยี่สิบ แต่หากพวกโจรมีมากกว่าตั้งหลายเท่าตัว บังคับควบม้ามารายงานนายทัพ
“พวกเรามิอาจจะต้านพวกมันได้ไหวแล้วนะท่าน มันมีมากกว่าพวกเราอยู่ขอรับ”หลวงภูผาบอกเสียงเครียด เมื่อนั้นนายทัพพระยาลือกัดกรามแน่น มองเหลียวหน้าแลหลังอยู่สักพัก
“คุ้มกันพระนางให้ปลอดภัย นี่เป็นคำสั่ง เจ้าทำได้นะภูผา” พระยาลือตัดสินใจทางเลือก สู้ก็ตายหนีก็ไม่รอด แต่พระนางจะเป็นมเหสีในอนาคตของเจ้ามหาชีวิตแห่งล้านช้างต้องปลอดภัย
“โอ๊ย!”
ฉึก! ฉึก! ฉึก!
เสียงของพระยาลือร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อลูกธนูสามดอกแหวกอากาศมาเร็วปานสายฟ้าแลบปักฉึกเข้าเต็มหน้าอกของนายคุมขบวนเสด็จอย่างแม่นยำ เขาตกลงจากหลังม้าทันที
หลวงภูผาเห็นพระยาลือเสียท่าแล้ว เขาก็รีบกระโดดลงจากหลังม้า รุดเข้าประครองศีรษะของนายทัพศรีสัตนาคนหุต ช้อนขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของภูผา พระยาลือสิ้นแล้วภูผาวางร่างนายทัพลงกับพื้นดิน ชั่วพริบตาเหล่าโจร พวกมันก็ยิงลูกธนูเข้าใส่เป็นห่าฝน แต่ร่างทหารของหลวงภูผาคนหนึ่งกลับวิ่งมารับลูกศรแทนเขา
ภูผาเขายันตัวเองลุกขึ้นเงื้อมดาบถลันใส่ มือธนูสามคนนั้นตวัดดาบฟันฉับลำคอ ลำตัวและกลางหัวกะโหลกพวกมันทั้งสามล้มตายทันที
“จับตัวมาให้ได้ ฆ่าเจ้านั่นเร็วพลัน มีผู้หญิงอยู่บนเกวียน” หัวหน้าโจรร้องสั่ง
หัวหน้าโจรป่าเมื่อมันเหลียวเห็นภูผากำลังไล่ฟันแทงลูกน้องของมัน และก็รู้ว่าเป้าหมายของพวกมันเป็นใคร