เมื่อถึงครา "มารา" สมัครสมานกับ "เทวา" มิติทั้งสามมาบรรจบกันโดยมีโลกมนุษย์เป็นกึ่งกลาง เป็นสมรภูมิประลองพลัง ใครจะเป็นผู้ที่ยุติ..ถ้าไม่ใช่ทายาทแห่งมหาเทวะกับพระยามาร ผู้ซึ่งมีกำเนิดไม่เหมือนใครในไตรภพ และเป็นที่ท้าทายต่อความรักข้ามแดนสรวง ซึ่งต่อให้มีพลังมหาศาลเฉกเช่นพระสุบรรณ ก็ใช่จะฟันฝ่าโองการสวรรค์ได้ดังตั้งใจ....
“มันตรา” ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะนวนิยายลึกลับ แฟนตาซี ผจญภัย มากกว่าจะเป็นนิยาย "Y" เพียงแต่ตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหนือโลกในทำนองนี้ มักจะมีวิถีในการรักเพศเดียวเป็นส่วนใหญ่ นั่นคงเพราะถูกกำหนดมิให้ผูกบ่วงชีวิตกับครอบครัว หากท่านใดประสงค์จะอ่านนิยายวายแนวโรแมนติก อิโรติก ก็สามารถติดตามจากนิยายแนวดังกล่าวซึ่งมีมากมายในธัญวลัย
มันตรา บทที่ 1
ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นพระจันทร์เต็มดวงขนาดนี้ในใจกลางเมืองหลวง แสงสว่างจัดจ้าจนเกือบทำให้นึกว่าเป็นยามเย็น เห็นรายละเอียดของเมฆกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยลอยเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ราวกับภาพวาดของแดนสรวง อยู่ในคอนโดบนตึกสูงก็ได้เปรียบตรงนี้ ให้ความรู้สึกราวกับลอยอยู่กลางหาว เหมือนครั้งใดหนอ..คงเป็นในฝันที่รู้สึกเหมือนบินได้อยู่เนืองๆ ด้วยลมเย็นระรื่นพัดผ่านผิวหน้าเป็นระลอก....
ลมหายใจร้อนผ่าวที่รดต้นคอ ทำให้สัมปชัญญะที่กำลังล่องลอยถูกดึงวูบกลับมา สัญชาตญาณในการป้องกันตัวของมันตราทำงานโดยอัตโนมัติ.. มือแข็งแรงราวกับคีมเหล็กนั้นหันกลับมาคว้าคอชายหนุ่มหุ่นล่ำด้วยแผงอกราวกับครูสอนฟิตเนสในชุดผ้าขนหนูสีขาวพันไว้รอบเอว… เขามีอาการผงะออกไปกับแรงตอบโต้นั้น …..
“โทษที ผมไม่ได้ตั้งใจ...”
มันตราพึมพำ แล้วหันกลับไปทางหน้าต่างอีกครั้ง... แสงจันทร์ส่องสว่างผ่านม่านหน้าต่างบางๆ .. ทุกครั้งในค่ำคืนวันเพ็ญ อารมณ์อันควบคุมไม่ได้มักจะทำงานอยู่เนืองๆ... แน่นอน..โดยเฉพาะดำกฤษณา
หนุ่มร่างใหญ่ เอามือโอบรอบเอวมันตรา กระซิบอยู่ข้างหู
“นอนไม่หลับหรือครับ”
มันตราแอบถอนใจ
“เป็นห่วงงานนิดหน่อยน่ะครับ”
นี่เขาต้องแอบปดหนที่เท่าไรแล้ว...
จะว่าไป เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังรู้สึกอย่างไร.. กับทั้งตัวเอง และหนุ่มไม่คุ้นหน้าคนนี้ จริงๆ เขาก็เป็นคนหน้าตาเข้าทีอยู่ แม้จะไม่หล่อนัก แต่รูปร่างก็เต็มไม้เต็มมือดี แล้วก็สุภาพ...
..หรือสุภาพเกินไป จนเขารู้สึกออกจะรำคาญนิดๆ
“ถ้าไม่รีบ..กลับมานอนคุยกันต่ออีกหน่อยดีมั้ยครับ”
เสียงทุ้มๆ นั้นปลุกเขาจากภวังค์อีกครั้ง
“คุณ..เอ้อ...”
มันตราชะงักนิดหนึ่ง เขาจำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยถามชื่อหรือเปล่า..
ชายหนุ่มผิวสีแทนหัวเราะเบาๆ
“ตั้ม ครับ”
“เอ้อ..ผม มันตรา นะครับ”
“ผมจำได้ครับ..”
มันตรารู้สึกหงุดหงิดอีกแล้ว
“..ผมนี่มันแย่จริงๆ เรื่องจำชื่อคน”
หนุ่มตั้มหัวเราะ
“ไม่เป็นไรครับ ก็เราเพิ่งรู้จักกันในปาร์ตี้ไม่กี่ชั่วโมง”
มันตราคร้านที่จะต่อความยาว .. เขาอาจไม่อยู่ในอารมณ์โรแมนติกพอที่จะประดิษฐ์ถ้อยคำ มือคว้าขอบผ้าขนหนูที่เอวของตั้ม เล่นเอาหนุ่มล่ำตะครุบแทบไม่ทัน มันตรากึ่งลากเขาไปที่ห้องน้ำ เปลี่ยนที่ทำกิจกรรมบ้างดีกว่า เผื่อจะได้ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยสร้างบทสนทนา เขายิ่งเมื่อยสมองกับงานครีเอทีฟประจำวัน
..................................................................
ความเย็นเยือกของน้ำแข็งกระทบกับใบหู ทำเอามันตราสะดุ้งจากภวังค์
“...ฝันกลางวันเลยนะพวก เมื่อคืนไปทำไรมา”
เจ้าของเสียงร่างท้วม มือถือแก้วโค้กเย็นเฉียบ กำลังทำหน้าล้อเลียน
“มีอะไรดีๆ อย่าลืมเพื่อนนา รู้จักแบ่งปันทำบุญทำทาน ชาติหน้าจะได้ขึ้นสวรรค์ไปติ๊ดชึ่งกับนางฟ้า..เอ๊ย ไม่ใช่”
ก้มหน้าลงมาออมเสียง
“กับเทวดาหุ่นล่ำๆ สินะ”
มันตราหัวเราะหึๆ
“ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับนายสักนิด ระวิน อย่าพยายามเสนอหน้าหน่อยเลย”
ระวินมองซ้ายมองขวา แล้วชะโงกหน้าเข้ามากระซิบ
“เฮ่ย..ของอย่างนี้ใครๆ ก็ดูออก นั่งตาเยิ้มฝันเฟื่องซะไม่มี รับรองว่าได้อะไรดีๆ มาเป็นแน่...”
มันตราขมวดคิ้ว
“เออ..ถึงจะใช่ ก็ไม่เหมือนสบู่หรือยาสีฟันนะโว้ย จะได้แบ่งกันใช้ได้ง่ายๆ”
“นั่นไง ข้าว่าแระ ตาไอ้วินไม่เคยพลาด ยังไงรู้จักแนะนำกันบ้างนะเฟ้ย”
มันตรามองหุ่นระวินพลางนิ่วหน้า
“เอ็งไปลดน้ำหนักให้ได้อีกซัก 20 กิโลก่อนเหอะ แล้วค่อยมาคุย”
ระวินรีบแขม่วพุง
“ทำไมๆ หุ่นข้าเป็นยังไง ธ่อ..เห็นอ้วนๆ อย่างนี้ ผู้ชายตามมาสยบนับไม่ถ้วนแล้ว”
มันตราชำเลืองผ่านประตูไปที่โต๊ะเลขาแผนกครีเอทีฟ
“เบาๆ หน่อย ไอ้เวร เดี๋ยวสาวๆ ก็แตกตื่นกันหมดหรอก”
ระวินเชิดหน้า
“เชอะ..นางชะนีพวกนั้น มันมีดีอะไร วันๆ ก็ได้แต่กระรอกผู้ชาย แล้วก็นก...”
มันตราหัวเราะ
“อะไรของเอ็ง...ทุกประโยคมีแต่สิงสาราสัตว์”
หลังจากปะทะคารมกันพอหอมปากหอมคอ ระวินก็เดินทัวร์ออกไปส่งเสียงทักทายตามโต๊ะอื่นต่อไป มันตรากับระวินเป็นที่คุ้นเคยของบรรดาเพื่อนๆ ผู้ร่วมงานใน Magical Idea เอเยนซี่โฆษณาขนาดกลาง ที่กำลังส่องประกายแซงหน้าเอเยนซี่ใหญ่รุ่นเดอะทั้งหลาย เนื่องด้วยสถานการณ์ทางการตลาดเปลี่ยนไป บริษัทที่มีไอเดียบรรเจิดและทำงานได้คล่องตัวกว่า ย่อมมีโอกาสที่จะเติบโตในตลาดโฆษณาได้ดีกว่า และด้วยตำแหน่ง Creative และ Art Director ของทั้งสอง ทำให้มันตราและระวินได้โชว์ฝีมือผลิตชิ้นงานเด่นๆ ที่เข้าขากันเป็นทีม
ถึงเด็กคลื่นลูกใหม่กำลังบูมกับไอเดียแหกแหวกตลาด แต่แคมเปญตีหัวเข้าบ้านก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จในระยะยาว จึงต้องพึ่งความสามารถและประสบการณ์ของบรรดาซีเนียร์ในวงการ โดยเฉพาะคนอย่างมันตรา เพราะเดี๋ยวนี้ ใช่ว่าจะหาคนที่มีประสบการณ์คร่ำหวอดในวงการโฆษณาขนาดนี้ได้ง่ายๆ แม้กระทั่ง สาวิตรี ผู้จัดการใหญ่ยังต้องคอยขอความเห็นจากมันตราอยู่เนืองๆ
มันตราจรดปลายนิ้วลงบนคีย์บอร์ด ทั้งๆ ที่สมองยังคงมีแต่ความว่างเปล่า... งานจะเอาวันพรุ่งนี้แล้ว เพิ่งมาบรีฟงานเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว เด็กสมัยนี้เหมือนกันหมด ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกเอาตัวรอดไปวันๆ ไม่เคยนึกถึงเวลาและความเป็นไปได้ เอาใจลูกค้าละเป็นที่หนึ่ง แล้วค่อยมาบีบคอทีมงานในเอเยนซี่เอา... คงคิดว่าเขาเป็นเทวดาประจำบริษัท นึกจะเนรมิตอะไรก็ได้อย่างใจ อยากให้มันไปบนบานศาลพระภูมิที่บ้านดูซิ ว่าจะได้ทันใจหรือไม่....
มันตราหลุบเปลือกตาลง ปล่อยใจให้ว่าง..สงบ ในเมื่ออยากให้เขาเนรมิต ก็จะทำให้ดู ทันใดนั้น.. เหมือนกับหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา ความคิดอะไรบางอย่างเริ่มผ่านเข้ามา โดยไม่ต้องเค้นว่ามันเป็นอะไรแน่ นิ้วของเขาก็เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ คีย์บอร์ดถูกพรมเป็นจังหวะต่อเนื่อง
กลยุทธ์งานสร้างสรรค์ถูกร่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ลื่นไหลจนเขาเองก็ประหลาดใจ จินตภาพในสมองทำงานสัมพันธ์กับนิ้วมือที่เคาะลงบนแป้นพิมพ์ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ สบายๆ ราวกับทุกอย่างเคยเรียบเรียงมาก่อนแล้ว นัยน์ตาของเขาราวเกิดประกายสีสันวิบวับล้อกับแสงบนจอคอมพิวเตอร์
“ตายแล้ว...พี่ขา อะไรกัน..เสร็จแล้วหรือเนี่ย ปานเนรมิตจริงๆ”
เสียงแหลมเจื้อยแจ้วลอยข้ามศีรษะมาจากด้านหลัง มันตราไม่ต้องหันไปก็ทราบได้ว่า แม่เออี ฝ่ายบริการลูกค้าตัวดี มายืนไล่ล่างานของนางอยู่
“แต้ว.. เธอไปตามได้ที่เลขาเอาแล้วกัน พี่ส่งไฟล์ไปให้แล้ว...”
หนูแต้ว เออีสาวเปรี้ยวยกมือไหว้พร้อมถอนสายบัวอย่างอ่อนช้อย
“พี่ขา พี่ช่วยชีวิตหนูไว้จริงๆ นะคะ ไม่งั้นนังลูกค้ามันจะต้องรับประทานหนูแทนอาหารเที่ยงพรุ่งนี้เป็นแน่แท้”
นาฬิกากระดืบไปจนเกือบถึงเลข 12 น้องแต้วเพิ่งสะบัดก้นงอนๆ ของนางจากไปชั่วไม่ถึงห้านาที เสียงระวินแว่วมาล้งเล้งกับเออีหนุ่มที่บุกเข้ามาตามงานถึงแผนกอาร์ต เสียงกริ่งมือถือก็ทำเอามันตราสะดุ้งจากภวังค์อีกครั้ง
“ว่างแล้วยังครับ”
“ใครน่ะครับ”
“อย่าบอกนะว่าลืมผมแล้ว”
“เอ่อ..เรารู้จักกันด้วยหรือครับ”
“แหม นึกว่าจะจำเสียงได้”
มันตราขมวดคิ้ว กำลังนึกจะด่า...
“ผม..ตั้ม ไงครับ”
ดีที่ยั้งปากไว้ทัน...
“อ้อ นึกว่าใคร เบอร์ไม่คุ้น”
“นึกว่าเมมเอาไว้แล้ว...”
“นั่นสิ ผมคงลืมอะครับ”
“ยังดีที่ไม่ลืมชื่อผม...”
มันตราหัวเราะหึๆ
“มีอะไรให้ผมรับใช้หรือครับ”
“แหม ใครจะไปกล้า คิดถึงหรอกครับ”
“อ้อ...”
“แล้ว..ไม่คิดถึงผมบ้างหรือครับ”
“แหม คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนขี้ลืม”
“ว้า..ไม่ทันไร ลืมเราซะแล้ว”
โธ่..ไม่น่าให้เบอร์ไปเลยเรา..มันตรานึกด่าตัวเองในใจ
“เมื่อไหร่เราจะได้เจอกันอีกล่ะครับ?”
“เมื่อใดที่ชาติต้องการ ก็เมื่อนั้นแหละครับ”
อีกฝ่ายเริ่มอึ้ง...
“ดูท่าคุณไม่ค่อย in the mood เลยนะ”
มันตรารู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นนางร้าย...
“เอ้อ ต้องขอโทษด้วยนะ ตั้ม ผมกำลังมึนกับเรื่องออฟฟิศ เพิ่งทะเลาะกับเออีไปหยกๆ...”
“เหรอครับ..ไม่เป็นไร เอาไว้อารมณ์ดีเมื่อไรค่อยคุยกันก็ได้ครับ...”
เที่ยงกว่าแล้ว...ออฟฟิศว่างเปล่า มันตรามองไปรอบๆ... รู้สึกครั้งแรกว่าตัวเองเริ่มเหงา ระวินหายไปไหนนั่น ทำไมไม่ชวนเขาไปกินข้าว....
..ตะกี้ตั้มก็เพิ่งโทรมาไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมไม่ไปกับเขา หรือว่า เบื่อเขาแล้ว เพราะถึงจะสุภาพน่ารัก แต่เรื่องบนเตียงก็งั้นๆ หรือว่าต้องการเขาแค่เป็นเพื่อน แต่เขาไม่ได้ต้องการแค่นั้นนี่ นี่เรากำลังจะหาเหาใส่หัวอีกแล้วใช่ไหม?
สมองสับสนด้วยเรื่องที่ไม่มีคำตอบ ตกลงเขาจะเอายังไงกันแน่กับชีวิต...
หรือตั้งใจจองหมู่บ้านคานทองนิเวศน์ไว้ล่วงหน้า (โดยไม่รู้ตัว) เหมือนอย่างที่ระวินบอก...
...ช่างหัวมันปะไร...
....................................................................................................