อ่ า น กั น ก่ อ น สั ก นิ ด น ะ ค ะ
*** งานเขียนถือเป็นลิขสิทธิ์ทางปัญญา ผู้ละเมิดจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย***
ผู้เขียนขอสงวนสิทธิ์ในงานเขียนเรื่องนี้ ห้ามมิให้นำบทความส่วนหนึ่งส่วนใดในตัวเนื้อหารวมทั้งชื่อเรื่อง หรือแม้แต่นามปากกา ไปคัดลอก ดัดแปลง เพื่อกล่าวอ้างเป็นผลงานของตนเอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้แต่งเป็นลายลักษณ์อักษร (ผู้ใดพบเห็นงานเขียนนี้ในแหล่งอื่น โปรดแจ้งเราทันทีค่ะ)
(อย่าขโมยงานเขียนกันเลยนะคะ กว่าจะแต่งได้แต่ละบรรทัดไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะ)
ฟิคเรื่องนี้อาจมีชื่อตัวละครไปตรงกับชื่อศิลปิน แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวศิลปิน ไม่มีส่วนใดเป็นความจริงทั้งสิ้น เรื่องถูกแต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ผู้แต่งไม่ได้มีเจตนาสร้างความเสื่อมเสียหรือทำลายชื่อเสียงของศิลปินแต่อย่างใด รูปภาพประกอบที่ปรากฎ ใช้เป็นแนวทางในการมโนของผู้เขียนและผู้อ่านเท่านั้น
** นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่าง ชาย - ชาย
Mark Tuan
ไอดอลชื่อดังสมาชิก MJ Project นอนหลับบนเตียงนอนอยู่เกาหลีดีๆ ดันถูกพลังงานบางอย่างดึงตัวมาโผล่อีกที่หนึ่ง ราวกับเป็นตัวละครในหนังแฟนตาซี บุคคลแรกที่เขาเห็นหลังถูกแรงลี้ลับดูดมา คือชายหนุ่มหน้าตาน่ารัก ซึ่งนั่งปอกแอปเปิลอยู่ในห้องมืดๆ มีแค่เทียนส่องสว่างเท่านั้น
เขาคงหาทางกลับบ้านได้ง่ายกว่านี้เยอะ หากไม่ได้โผล่ออกมาทางกระจกเงาในห้องนอนใครบางคน ด้วยสภาพตัวหดเล็กราว 2 ฟุต เท่านั้น
"พออยู่ไปอยู่มา ไหงความรู้สึกดันไม่อยากกลับบ้านซะงั้น แปลกจังหัวใจ"
Bambam
แม้ตอนแรกจะคิดว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่ออกมาจากกระจก (ของฝากจากเพื่อนตัวเอง) จะเป็นผี หรือไม่ก็สัตว์ประหลาด แต่พอยิ่งได้หาความจริงถึงได้กระจ่างว่าเขาคือไอดอลดังแห่งแดนกิมจิตัวจริง
คงจะดีกว่านี้หากเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดกับมาร์คมันเกิดขึ้นมาเอง ไม่ได้เกิดจากความอุตริของเขา แม้จะยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัดว่าเพราะอะไรกันแน่และจะแก้ไขอย่างไร แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ผลกระทบในเรื่องงานของมาร์คมีมากขึ้น ความรู้สึกที่แบมแบมมีต่อมาร์คก็เริ่มเปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งนั่นมันยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดในใจก่อตัวมากขึ้น ทว่าเสียงในใจสองเสียงเริ่มแบ่งฝั่งตีกัน ระหว่าง
ช่วยหาวิธีให้เขากลับไปที่ที่เขาจากมาให้เร็วที่สุดอย่างที่ควรกระทำ
กับ
อยากยื้อเวลาให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ ใช้ชีวิตอยู่โดยเจอหน้ากันแทบจะ 24 ชั่วโมง ไปเรื่อยๆ
Intro
หลายคนคงเกิดความสงสัยว่า เบื้องหลังจุดกำเนิดของชีวิต และบ่อเกิดความเปลี่ยนแปลงนานาในระหว่างยังมีอายุขัย มีอะไรดลบันดาลหรือชักพาให้มันเป็นไปในแนวทางนั้นๆ กันแน่ บางกลุ่มคนเชื่อว่า การกระทำ ณ ปัจจุบัน เป็นตัวส่งต่อกำหนดผลลัพธ์ในอนาคต บางกลุ่มคนปลักใจว่า ทุกสิ่งอย่างที่ เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และดับสูญ ต่างถูกกำหนดไว้แล้วด้วย ‘โชคชะตา’ แล้วใครกันที่มีสิทธ์ลิขิตชีวิตของใครต่อใครเอาไว้ได้ ทว่าหากเทน้ำหนักไปเชื่อการกระทำ เหตุใดคนที่กระทำเหมือนกัน จึงมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน มีชีวิตไม่เหมือนกันได้ ทุกวันนี้จึงยังไม่มีใครตอบได้ว่า ‘โชคชะตา’ มันมีอยู่จริงหรือไม่ หาหลักฐานยากกว่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวเสียอีก เพราะโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลที่แม้เราทุกคนจะอาศัยอยู่มานานปี แต่ก็ยังมิอาจมองเห็นและเข้าใจมันได้ถ้วนทั่วทุกตารางเมตร ยิ่งเป็นเรื่องที่มองไม่เห็น หรือไม่มีหลักฐานยืนยันความเข้าใจด้วยแล้ว ยิ่งย้ำชัดว่าต่อให้ตายไปอีกกี่รอบ เกิดมาใหม่ก็ยังคงไม่อาจเข้าใจเรื่องราวเหล่านั้นอยู่ดี
มนุษย์เราเจอะเจอเรื่องราวแปลกๆ บนโลกมากมาย บางเรื่องก็ไม่สามารถอธิบายสรรหาเหตุผลได้ คนส่วนใหญ่ชอบโบ้ยให้ ‘โชคชะตา’ รับผิดชอบ เพราะก็ไม่รู้จะหาเหตุผลใดมาสมทบแล้วจริงๆ นอกจากคำนี้
คำว่า ‘โชคชะตา’ จึงดูเหมือนจะเป็นคำแรกที่ถูกหยิบยกมาใช้ได้กับทุกประเด็น ทว่าหากใช้กับความรัก บางครั้งกลับถูกเปลี่ยนนามเรียกเป็น ‘พรหมลิขิต’ เสียนี่ แต่จะด้วยเหตุผลใดใครบันดาลก็ตาม เราทำได้แค่อยู่กับมัน หรือหาทางแก้ไขให้ผ่านพ้นไปได้เท่านั้น
เมื่อพูดถึงสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ หนึ่งสิ่งที่จัดอยู่ในคำจำกัดความประเภทนั้น คือ ‘ไสยศาสตร์’ ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า ศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเวทมนต์คาถา เป็นศาสตร์ที่พิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยน้อมรับนับถือ หยินและหยางคู่กันฉันใด ไสยศาสตร์ด้านขาวและด้านดำก็อยู่คู่กันฉันนั้น
เราคงคิดไม่ออกเลยว่า หากชีวิตเจอเรื่องแปลกประหลาดอย่างที่กล่าวมาข้างต้น จะทำอย่างไรดี แต่ชายหนุ่ม 2 คนต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านั้น หนึ่งคนเป็นนักร้องดัง หนึ่งคนเป็นแค่เจ้าของร้านดอกไม้ ทั้งคู่เจอทั้งสิ่งที่ต้องนำคำว่า เป็นเพราะโชคชะตามาใช้ตอบตัวเอง เจอทั้งไสยศาสตร์ที่ไม่รู้ว่ามันมีอยู่จริงหรือไม่ หรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญกันแน่ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขา
“หนังสืออะไรวะ เก่าฉิบหาย”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินถือหนังสือมา ยังไม่ทันถึงเก้าอี้ตัวเองดี เพื่อนคนหนึ่งที่นั่งอ่านนิยายอยู่ก็ละสายตาจากหนังสือตรงหน้า มาสนใจหนังสือในมือเขาแทนเสียอย่างนั้น
“ตำราเรียกหาเนื้อคู่”
คำตอบไขข้อข้องใจสั้นๆ เนื่องจากคนตอบก็ไม่ได้รู้อะไรดีไปกว่าคนถามเลย เพียงแค่ตอบไปตามหน้าปกหนังสือเท่านั้น
“เอามาทำไมวะ อยากมีคู่ขนาดนั้นเลยเหรอ ฮ่า ๆ ๆ”
“ก็แค่อยากอ่านเล่นน่ะ เหมือนที่แกอ่านนิยายไง”
“โว๊ะ! ไร้สาระ”
ตำราในห้องสมุด บ่อเกิดจุดเริ่มต้นของเรื่องราว อีกทั้งกระจกของฝากจากเดนมาร์ก บวกกับความโดดเดี่ยวของชีวิตโสด ในขณะที่เพื่อนเริ่มมีคนรักกัน สิ่งเหล่านี้กวนตะกอนความอยากรู้อยากลองที่นอนก้นในใจของผู้ชายคนหนึ่งให้กระทำในสิ่งที่เคยมองว่าไร้สาระ จนกระทั่งผู้ชายคนหนึ่งโผล่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่กลับก่อเกิดความผูกพันต่อกันทั้งสองฝ่าย เปลี่ยนคำจำกัดความของโชคชะตาวุ่นวาย ให้กลายเป็นพรหมลิขิตอันงดงาม ทว่ามันคงจะราบรื่นดี หากทุกอย่างดำเนินเป็นไปอยู่บนความ ‘ปกติ’
Bambam Part
ผมพอจะทราบความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับวัยเบญจเพสมาบ้าง ม๊าเคยบอกว่าผู้คนมักประสบพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ บ้างก็ดี บ้างก็ร้าย แต่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า วัยเบญจเพสของตัวเองมันจะซวยอะไรได้ขนาดนี้... อยู่ ๆ เรื่องที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้นกับผมจนผมต้องพยายามหาเหตุผลและหาทางกำจัดมัน แต่ก็นั่นแหละการจะกำจัดเรื่องนี้ออกไปจากชีวิตผมได้ มันก็คือการจำยอมช่วยเหลือให้ใครคนนั้นกลับไปสู่ที่เดิมที่เขาจากมา
'ใครคนนั้น' ที่ผมพูดถึง เขาบอกว่าเขาชื่อ มาร์ค ต้วน อ้างตัวว่าเป็นนักร้องดังจากเกาหลีใต้ แต่คิดว่าผมจะเชื่อมั้ยล่ะ ยังไงผมว่าหมอนั่นน่ะเป็นผี หรือไม่ก็สัตว์ประหลาดแน่นอน คนที่ไหนจะโผล่ออกมาจากกระจกในห้องผมได้ มิหนำซ้ำส่วนสูงแค่ประมาณ 2 ฟุต อีกต่างหาก แต่โชคดียังเข้าข้างผมอยู่บ้าง ที่ประทานอาหารตามาให้ผมมอง เพราะไอ้หมอนั่นหน้าตาดีมาก ซึ่งผมคุ้นหน้าคุ้นตายังไงบอกไม่ถูก และถึงแม้ส่วนสูงเท่ากับเด็กก็จริง ทว่าสัดส่วนเหมือนผู้ชายปกติในขนาดย่อส่วนนั่นแหละ
ผมตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมเขามาโผล่ที่ห้องของผมได้ (เขาเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมาอยู่นี่ได้ยังไง) ผมไม่แน่ใจว่าเพราะกระจกโบราณจากเดนมาร์ก ซึ่งเป็นของฝากจากยองแจเพื่อนผมหรือเปล่า หรือว่าเป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็นหน้าตาเนื้อคู่ของผมเอง เลยบ้าจี้ทำตาม “ตำราเรียกหาเนื้อคู่” ที่ยูคยอมมันเจอในห้องสมุด หรืออาจเป็นผลลัพธ์อันเกิดจากทั้งสองสิ่งนั้นรวมกัน ผมและมาร์คถึงต้องช่วยกันหาคำตอบ แต่ระหว่างที่ยังหาทางส่งต่างด้าวตัวจิ๋วกลับเกาหลีไม่ได้ เรื่องวุ่นวายในบ้านผมเลยเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน วุ่นวายในบ้านยังไม่พอ ดันมาวุ่นวายในใจผมด้วยเนี่ยสิ ผมจะทำยังไงดีครับสวรรค์ ไอ้พี่มาร์คตัวจิ๋วนี่มีผลต่อหัวใจผมเหลือเกิน (TT_TT)
___________________________________________________________
ใครมีอะไรติชมตรงไหน หรืออยากให้กำลังใจ คอมเมนท์ได้เลยค่ะ เดี๋ยวมาอ่าน ^_^
** แวะไปทักทาย ไปทวงฟิคกันได้ที่ หรือ
Twitter :
@ameriGUNboy
นะคะ
หมายเหตุ : ในเนื้อหาแต่ละตอนอาจจะมีคำผิดหลงไปบ้างนะคะ อย่ารำคาญลูกตากันหละ 5555 ไรท์ยังไม่ว่างแก้จ้ะ ขออภัยจริงๆ
เม้นเป็นกำลังใจกันหน่อยจะดีมากค่ะ ^O^ (ไรท์จะได้รู้ว่ามีใครสนใจอ่านเรื่องของเรามากน้อยแค่ไหน) แต่ถึงไม่มีเม้นก็ยังจะอัพตอนต่อๆ ไปให้อ่านกันอยู่ดีนะ สัญญาสายัน