ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้น

ณ ตอนนี้ความรู้สึกของฉันมันอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว สับสน ฉันไม่รู้เลยว่า จริงๆแล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  รู้เพียงแต่ว่า มันได้เกิดขึ้นมาแล้ว และไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงไปง่ายๆ เพื่อนของฉัน คนรอบตัวของฉันได้กลายเป็นพวกมันไปเสียหมด ฉันไม่รู้เลยว่าฉันควรจะทำอย่างไรดี ควรจะทำอย่างไรเพื่อให้ตัวเองและพวกคนที่เหลืออยู่รอด ฉันยืนมองผู้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับฉัน ระหว่างฉันและพวกเขามีเพียงประตูบานใหญ่ 2 บานที่ขณะนี้ถูกปิดเข้าหากัน โดยฉันและเพื่อนของฉันที่ช่วยกันปิดมันไว้  พร้อมกับใช้โซ่เส้นเล็กที่นำมาจากร้านซุปเปอร์มารเกสคล้องระหว่างที่จับของประตูทั้ง 2บานเพื่อให้มันปิดติดกันสนิท พวกเราทำอย่างทุลักทุเลและเร่งรีบ เพราะคิดว่ามันอาจจะช่วยถ่วงเวลาไว้สักพักเพื่อให้พวกเราหนีไปได้ไกลพอสมควร ประตูบานใหญ่เหล็กดัดที่เคยมีลวดลายตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยที่สวยงามสีขาว มีริ้วสีทองตามขอบ  บัดนี้ได้เต็มไปด้วยคราบเลือดเกรอะกรัง พร้อมกับพวกมันอีกนับร้อย นับพัน ยืนออ เบียดกันอยู่ยาวสุดลูกหูลูกตาคล้ายกับคนเดินขบวนอย่างไงอย่างงั้น พวกมันทำทีท่าเหมือนอยากจะพังประตูออกมาเสียให้ได้ พวกมันที่อยู่หน้าสุดใช้มือกำตรงช่องว่างระหว่างเหล็กดัดแล้วเขย่าประตูใหญ่ที่มีโซ่เล็กๆของพวกเราคล้องอยู่ ประตูบานใหญ่แทบจะล้มตึงพังลงมาต่อหน้า ตาของพวกมันจ้องเขม็งมาที่พวกเรา พร้อมกับขยับปาก กัดกรามกรอดๆ เหมือนเสืออยากจะขย้ำเหยื่อ เสียงครางคำรามในลำคอดังเป็นระยะ ฉันไม่รู้ว่าผู้คนเหล่านั้นเป็นอะไรกันไปหมด รู้แต่ว่าพวกมันอยากจะทำร้ายพวกเรา อยากที่จะฉีกเนื้อพวกเราออกเป็นชิ้นๆ  และถ้าลองพวกมันได้กัดใครเข้าแล้ว คนๆนั้นก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นพวกมันอีกทันที ซึ่งตอนนี้สภาพคนที่ฉันรู้จัก บางคนแทบจำสภาพเดิมไม่ได้ สภาพหน้าที่เละเต็มไปด้วยเลือด บ้างก็มีรอยถูกกัด ลูกตาโถลนออกมานอกเบ้า ไส้ทะลักห้อยระโยงระยางออกมานอกท้อง ผิวหนังเหี่ยวย่นเน่าเฟะ กลิ่นเหม็นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ คราบเลือดเกรอะกรัง ปากฉีกขาดวิ่นยาวไปจนถึงหู จน เห็นรากฟันลึกและกระดูกข้างแก้มเป็นสันนูนโผล่ออกมา ช่างเป็นภาพที่ดูน่าเกลียดน่ากลัวสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ทุกคนตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับซากศพที่ร่างกายผุพัง แต่ทว่าเป็นซากศพที่เดินได้ราวกับยังมีชีวิต เหมือนปีศาจ อสุรกายหรือ ผีดิบในนิยายที่พวกเราเคยอ่านกัน เหมือนหนังหรือซี่รี่ย์ที่พวกเราเคยดูอย่างไม่มีผิดเพี้ยน มีความอยาก มีความกระหายเลือด เนื้อ มีความกระหายที่จะฆ่าและทำลายล้าง ฉันแทบอยากจะเป็นบ้าเสียให้ได้ ไม่เคยคิดเลยว่าสิ่งเหล่านี้มันจะเกิดขึ้นจริงในชีวิตของพวกเรา ใช่แล้วทางเดียวที่จะทำให้พวกเราไม่กลายไปเป็นพวกมันอีก นั่นคือฉันและคนที่เหลือต้องหนี  พวกเรากำลังจะหนีไป ไปที่ไหนก็ได้ ไปให้ไกลๆ ในที่ที่ไม่มีพวกมันอยู่ นี่คือเรากำลังจะหาทางหนีจากความจริง พวกเรากำลังหลอกตัวเองว่าหนทางข้างหน้าจะมีแต่พวกเรา มีเพื่อน มีครอบครัวที่ใช้ชีวิตอย่างสงบแบบที่แล้วมา ขณะที่พวกเรากำลังหันหลังให้กับประตูบานใหญ่นั้น พลันก็ต้องสะดุ้งโหยง เพราะประตูบานใหญ่นั้น กำลังจะพังลงมาต่อหน้าต่อตาของพวกเรา ไม่ทันการแล้ว พวกเราต้องรีบหนีก่อนที่ประตูบานนั้นจะพังลงมา โครม ตึง เสียงดังสนั่นไปทั่วเป็นเสียงเหล็กดัดของประตูกระทบกับพื้นถนนที่เป็นคอนกรีต ตอนนี้ประตูบานใหญ่ได้พังลงมาเสียแล้วนี่เรากำลังจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมันอีกครั้งแล้วเหรอนี่พวกมันมีมากเกินไป มากจนที่สามารถพังประตูใหญ่ได้ มากสำหรับที่จะต้องเผชิญหน้าในสภาวะเช่นนี้ และอาจมากเกินไปสำหรับที่จะหนีไปจากที่นี่ให้ได้อีกด้วย

…ย้อนไปเมื่อ 14 วันก่อน

"ศาสตราจารย์วิทย์ครับ ศาสตราจารย์วิทย์ครับ รบกวนมาดูอะไรนี่หน่อยครับ "

" มีอะไรเหรอ ดอกเตอร์ "

" นี่ไงครับ ผลงานวิจัยของทีมเรา ยารักษาโรคพิษสุนัขบ้า ยานี้จะรักษาโรคพิษสุนัขบ้าให้หายได้ในเข็มเดียว โดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ก็สามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้หมด โดยคุณสมบัติของมัน คือจะล้อมตัวเชื้อเอาไว้ แล้วกัดกินตัวเชื้อ ไม่ว่าจะโดนสุนัขกัดที่ไหน ยานี้จะสามารถกำจัดเชื้อไวรัสก่อโรคได้ทั้งหมดครับ "

" ถ้ามันดีขนาดนี้ คุณแน่ใจนะ ว่ามันจะไม่เป็นอันตรายกับคนที่ได้รับยาน่ะ "

" คำถามของศาตราจารย์ข้อนี้ คือสิ่งที่ผมกำลังจะทดลองวันนี้ไงล่ะครับ

" เอาล่ะ ถ้าคุณคิดว่า ผลงานนี้มันจะสร้างประโยชน์ให้กับวงการวิทยาศาสตร์ สร้างชื่อเสียงให้มหาลัย ให้ทีมงาน และที่สำคัญคือกับตัวคุณ ผมก็ขออวยพรให้คุณทำมันให้สำเร็จก็แล้วกันนะดอกเตอร์พล

" ครับ ผมจะตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุดครับ "

" เอาล่ะ วันนี้ผมคงอยู่ช่วยงานคุณไม่ได้นะ เพราะผมต้องรีบเดินทาง มีธุระที่ต้องไปทำที่ต่างจังหวัดด่วน เป็นงานของภาควิชา ผมอาจจะไปสัก 2-3 วัน ฝากทางนี้ด้วยแล้วกันนะ

" ครับ ศาสตราจารย์ "

หลังสิ้นสุดบทสนทนา ศาตราจารย์วิทย์ ในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ ผูกเน็กไทต์สีชา  สวมแว่นตาหนาเตอะ ผมสีขาวที่บางเต็มที หน้าตาที่ดูเหมือนคนจีนแก่ๆคนนึง ก็เดินออกจากห้องทดลองไปพร้อมกับเอกสารวิจัยอีกเป็นปึก ที่แกหอบหิ้วไปอ่านด้วย ทิ้งไว้แต่ดอกเตอร์หนุ่มที่ยังนั่งชื่นชมอยู่กับผลงานชิ้นโบแดงของตัวเอง ชายหนุ่มวัยสัก 30 ต้นๆ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาดูดีสะอาดสะอ้าน นักศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 ดีกรีนักเรียนนอก ได้เริ่มเข้ามาช่วยงานศาตราจารย์วิทย์เมื่อปีที่แล้ว ด้วยความที่ดอกเตอร์พลเป็นคนเก่ง และเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เขาเลยมักจะคิดค้นงานวิจัยอะไรใหม่ๆมาอยู่เสมอ จนทำให้มหาลัยและทีมวิจัยได้รับรางวัลมาแล้วนับไม่ถ้วน ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกันที่เขาจะต้องคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองให้ได้ เพราะเป็นรางวัลใหญ่ รางวัลพระราชทาน แถมถ้าใครได้รับรางวัลนี้ บางทีอาจจะได้มีชื่อเข้าชิงถึงโนเบลก็เป็นได้ ซึ่งนั่นมันคือความฝันสูงสุดของนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย รวมถึงดอกเตอร์หนุ่มคนนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก่อนที่จะก้าวไปถึงขั้นนั้น การทดลองของเขาในวันนี้ต้องเสร็จสมบูรณ์เสียก่อน เขาหันไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่บนฝาผนังหน้าห้อง ขณะนั้นเวลาเกือบเที่ยงคืน สภาวะรอบตัว รวมถึงภายนอกดูเงียบสงัด ดอกเตอร์หนุ่มเดินไปเปิดมู่ลี่ตรงกระจกบริเวณด้านข้างห้องซึ่งติดอยู่กับโต๊ะของเขา แล้วมองลงไปยังเบื้องล่างจากชั้น 2 เห็นยามคนหนึ่งกำลังถือกระบอกไฟฉายเดินตรวจตราเป็นกิจวัตร ภายใต้ความมืดที่ปกคลุมบริเวณรอบๆตึกวิทยาศาสตร์ ยังเต็มไปด้วยโคมไฟที่คอยให้แสงสว่างในยามค่ำคืน เราต้องรีบทำงานให้เสร็จเพราะนี่ก็ดึกมากแล้ว คิดพลาง หลังจากนั้น ดอกเตอร์หนุ่มก็เริ่มเตรียมการทดสอบงานวิจัยของตนขึ้น ห้องทดลองกลางขนาดใหญ่ของมหาลัย บัดนี้ไฟทุกดวงในห้องได้เปิดออกอย่างสว่างไสวทั่วห้อง โต๊ะขนาดใหญ่บริเวณกลางห้องมีการจัดเตรียมเครื่องมือเพื่อเตรียมปฏิบัติการ หนึ่งในเครื่องมือวิจัยนั้น คือกล่องที่เป็นกระจกรอบด้านทั้งสี่ด้าน มีหนูตัวใหญ่สีขาวตาสีแดงอยู่ในนั้น มันคือสัตว์ทดลอง ที่ต้องรับชะตากรรมที่มนุษย์ยัดเยียดให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บัดนี้ดอกเตอร์หนุ่มได้สวมเสื้อปฏิบัติการสีขาว แขนยาว ลักษณะของเสื้อยาวลงไปถึงบริเวณเข่า ติดกระดุมเรียงบริเวณด้านหน้าราว 5 เม็ด ด้านซ้ายของเสื้อมีป้ายชื่อสีขาวขนาดเล็กเขียนด้วยอักษรสีดำว่า ดอกเตอร์ภัครพล รัชนากูล ด้านขวาของเสื้อมีกระเป๋าขนาดเล็กที่เย็บติดอยู่บนเสื้อปฏิบัติการ กระเป๋านั้นมีตราของมหาวิทยาลัยอยู่ พร้อมกับใส่ถุงมือ รวมทั้งใส่หน้ากากอนามัยและแว่นตาปฏิบัติการขนาดใหญ่ที่ดูไปคล้ายกับนักประดาน้ำ ทุกอย่างเตรียมพร้อม ทั้งยารักษาโรคพิษสุนัขบ้าที่ตนเองพึ่งคิดค้น  รวมถึงไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าสกัดที่ถูกเตรียมมาในหลอดทดลองเป็นอย่างดี เพื่อการวิจัยครั้งนี้ เขาใช้เข็มขนาดเล็กที่เพิ่งถูกแกะออกมาอย่างระมัดระวัง และค่อยๆดึงลูกสูบขึ้นเพื่อดูดเอาน้ำใสๆ ในหลอดนั้นออกมา มันคือเชื้อไวรัสโรคพิษสุนัขบ้าสกัด จากนั้นเขาก็ใช้อีกมือที่ยังคงว่างอยู่เปิดกล่องกระจกบริเวณด้านบนออก แล้วใช้มือจับหนูทดลองตัวนั้นที่กำลังดิ้นตะเกียกตะกายหมายจะเอาชีวิตรอดให้หยุดอยู่นิ่งๆ อนิจจามันไม่สามารถฝืนชะตาตัวเองได้ เข็มฉีดยานั้นได้ทิ่มแทงไปที่ร่างของหนูโชคร้ายตัวนั้น มันร้องจิ๊ดๆ ด้วยความเจ็บปวด ความเจ็บยังไม่ทันบรรเทา สักพักมันก็ถูกเข็มฉีดยาอีกเข็มที่เตรียมไว้อยู่แล้วนั้น ทิ่มลงมา อีกครั้งมันคือยารักษาโรคพิษสุนัขบ้า หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการดอกเตอร์หนุ่มก็ปิดกล่องกระจกลง แล้วคอยเฝ้าดูอากัปปฎิกริยาของหนูตัวนั้นอย่างใจจดใจจ่อ ฉันเชื่อว่ามันต้องสำเร็จ ยานี้รักษาโรคพิษสุนัขบ้าให้หายได้ และหนูตัวนี้จะไม่เป็นไรแน่ๆ บัดนี้ หนูผู้เคราะห์ร้ายได้นอนคว่ำอยู่นิ่งๆ ผ่านไปไม่กี่นาที ร่างของมันเริ่มโงนเงน ยืนอยู่นิ่งๆไม่ได้ ร่างนั้นค่อยๆ เอียงแล้วเซถลาล้มลง ในท่านอนตะเเคง จากนั้นร่างนั้นค่อยๆเกร็งแล้วนอนหงายท้องทันที แล้วเริ่มมีอาการกระตุกอย่างรุนแรงแล้วจึงนอนแน่นิ่งไป

" นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ฟื้นสิเจ้าหนูน้อย  ไม่ ฉันต้องตรวจสอบให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ " ว่าแล้ว ดอกเตอร์ก็เปิดกระจกออก แล้วใช้มือของตนจะเข้าไปคว้าร่างของหนูตัวนั้นออกมาด้วยความหัวเสีย แต่ยังไม่ทันพ้นกระจกพลันเจ้าหนูตัวนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วใช้ปากกัดไปที่นิ้วชี้ของดอกเตอร์พลอย่างจัง โอ้ย เสียงของดอกเตอร์พลร้องดังลั่นห้อง พร้อมกับปล่อยเจ้าหนูตัวนั้น ตกลงไปในกล่องกระจกเหมือนเดิมแล้วใช้มืออีกข้างปิดกล่องทันที

" ไอ้หนูบ้าเอ้ยย เจ็บชะมัดเลย”

ถุงมือสีขาว บัดนี้มีเลือดไหลซิบๆออกมา โดยเฉพาะบริเวณนิ้วชี้ที่โดนกัด เขารีบถอดถุงมือออก

" โอ้ย นี่มันเลือดนี่นา "

เจ้าหนูตัวใหญ่สีขาวนั้นใช้ฟันคมๆของมัน กัดนิ้วของเขาโดยกัดทะลุถุงมือเป็นรูเข้ามา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ เขารีบทำความสะอาดแผล โดยใช้น้ำล้าง และเช็ดด้วยแอลกอฮอล์ เราโดนกัดครั้งนี้ แผลจะมีเชื้อโรคอะไรรึเปล่าเนี่ย เราต้องรีบไปเช็คดูสักหน่อยแล้ว ยังไม่ทันที่เขาจะได้ทำอะไรต่อ เขารู้สึกมึนหัว เหมือนทุกอย่างรอบตัวดูหมุนเร็วกว่าปกติ เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาดูเอนเอียงๆ เขาเริ่มทรงตัวไม่ได้ สายตาเริ่มพร่ามัวลง เขามีความรู้สึกว่า ไฟในห้องทดลองที่สว่างไสวค่อยๆริบหรี่ลง เขาใช้มือข้างนึงแตะที่ผนังไว้ แต่ก็ไร้ประโยชน์ ร่างของเขาทรุดลงไปนอนกับพื้น พร้อมกับทุกสิ่งทุกอย่างที่ดับวูบลงไป ร่างกายของเขาเริ่มมีอาการเหยียดเกร็งอย่างรุนแรง มือทั้ง 2 ข้าง งองุ้มเข้าหากัน ร่างที่ตกลงไปกับพื้น เริ่มมีอาการกระตุก อย่างรุนแรง ใบหน้าเหยเก ดวงตาเบิกโพลง บัดนี้ร่างของเขาเหมือนกับหนูทดลองสีขาวอย่างไงอย่างงั้นไม่มีผิดเพี้ยน สักพักร่างที่กระตุกอย่างรุนแรงก็สงบลง ร่างนั้นนอนแน่นิ่ง ดวงตาที่เบิกโพลงนั้นค่อยๆหรี่ลงจนปิดสนิท สถานการณ์ทุกอย่างสงบลงราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น.

ด้านล่างของตึกวิทยาศาสตร์

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังมาแต่ไกล ปรากฏร่างชายวัยกลางคนในชุดยาม ผิวคมเข้ม ไว้หนวดเครา ชายผู้นี้ขับมอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่หน้าป้อมคณะวิทยาศาสตร์ พร้อมกับเรียกเพื่อนยามที่กำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับการเล่นโทรศัพท์

“ เฮ้ย ทำไรอยู่วะ”

ชายร่างผอม หน้าตอบ โหนกแก้มใหญ่ คล้ายคนอีสานในชุด รปภ.เงยหน้าขึ้น  ละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์แล้วตอบไปทันควัน

“โอ๊ย ไอ้แหลม ข้าตกใจหมด”

พร้อมกับถามเพื่อนต่อว่า

“เฮ้ย ไอ้แหลม ปกติพวกดอกเตอร์ พวกอาจารย์ นี่ทำงานกันจนดึกจนดื่นขนาดนี้เลยเหรอ นี่ก็ปาไปตึหนึ่งกว่าแล้วนะเว้ย ข้ามองขึ้นไป ไอห้องกระจกใหญ่ๆที่มี เครื่องมือเยอะๆ ชั้น สองไฟยังเปิดอยู่เลยหว่า”

“ก็ไม่นี่หว่า ปกติวันไหนที่ข้ามาเข้าเวรที่นี่ พวกอาจารย์แกจะออกมากันประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แต่จะว่าไปวันนี้มันก็น่าแปลกจริง ทำไมถึงได้ดึกขนาดนี้เนี่ย”

“ข้าว่า เราสองคนขึ้นไปดูสักหน่อยไหม ไอ้แหลม ไม่ใช่ว่านั่นเป็นโจร เป็นขโมย ขนของกันเพลินเชียวนะ ถ้าเป็นแบบนั้นนี่ ความซวยต้องมาตกที่ข้าแน่”

“เออ ไปถ้างั้นก็ไป รีบๆไป ข้าจะได้รีบกลับบ้านไปนอน”

ว่าแล้ว ยามสองคนก็พากันเดินขึ้นไปบนตึก โดยบันไดที่อยู่ทางซ้ายของปากทางเข้าตึก บัดนี้ชั้นสองของตึกทุกห้องแลดูเงียบสนิท จะเหลือก็แต่ห้องทดลองขนาดใหญ่ที่มีแสงไฟสาดส่องออกมา พอที่จะทำให้ชั้น 2 ของตึก ลดความมืดลงไปได้บ้าง

“เฮ้ย ไอ้เปี๊ยก เอ็งเรียกอาจารย์สิ”

“อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ ทำอะไรอยู่ครับ”

ไร้เสียงขานตอบจากภายในห้อง แต่ทันใดนั้นเอง ตึงๆ ครืดๆ เสียงเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกำลังตบผนังของห้องซึ่งเป็นกระจกหนาขุ่นสีเทา ซึ่งมองเข้าไปที่ผนังกระจกนั้นคล้ายเงาของคนกำลังยืนตะเกียกตะกายทาบกับประจก พร้อมกับใช้มือครืดไปกับกระจก

“เสียงอะไรวะ ไอ้เปี๊ยก”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันหว่า  ข้าว่าเราเปิดเข้าไปดูดีกว่าไหม”

“จะดีเหรอวะ พวกอาจารย์เขาจะไม่ว่าเราเหรอ”

“เอาน่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วค่อยออกมา”

ทันใดนั้น เปี๊ยกก็ดันประตูกระจกให้เปิดออกอย่างนิ่มนวล แล้วค่อยๆเดินเข้าไปพร้อมกับ แหลม แล้วปิดประตูอย่างเบามือที่สุด ภายในห้องกว้างที่เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยวางบนโต๊ะยาว รายล้อมรอบห้อง และเก้าอี้นั่งปฏิบัติการ ตรงกลางมีโต๊ะวงกลมปฏิบัติการขนาดใหญ่ ที่บัดนี้เต็มไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือ เข็มฉีดยา หลอดใส่สาร ตรงกลางโต๊ะมีกล่องกระจกใสทั้ง 4 ด้านวางอยู่ ภายในมีหนูขนาดใหญ่ตัวสีขาว ดวงตาสีแดงของมันที่เคยมี บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเทาอมขาว ปากที่กัดฟันตลอดราวกับกำลังบดเคี้ยวอาหารตลอดเวลา มันพยายามที่จะตะเกียกตะกายหาทางออกมาจากกล่องกระจกให้ได้ และเสื้อกราวด์ปฏิบัติการที่ถอดวางทิ้งไว้บนโต๊ะ เมื่อมองลงด้านล่างของโต๊ะเห็นถุงมือเปื้อนเลือดวางตกไว้

“เฮ้ย ไอ้แหลม ทำไม ไม่เห็นมีใครอยู่เลยวะ เมื่อกี้ยังได้ยินเสียงอยู่เลย ”

“ข้าก็ไม่รู้หว่า อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ มีใครอยู่ไหมครับ”

พลันทั้ง 2 คนก็ได้ยินเสียงคนครางในลำคอ พร้อมกับเสียงบดกัดกรามเป็นระยะๆ บริเวณด้านหลังของพวกเขา ทั้งสองรีบหันกลับมามองทันที  ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือ ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ในชุดเสื้อเชิ้ตยาวสีขาว กางเกงขายาวสีดำ ใบหน้าซีดเซียว นัยน์ตาสีดำขลับบัดนี้กลายเป็นสีเทาอมขาว ที่มือบริเวณนิ้วชี้ มีรอยเลือดแห้งเกรอะกรังจากการถูกกัด

“เอ่อ อาจารย์ครับ เป็นอะไรรึเปล่าครับ....

ยังไม่ทันสิ้นประโยค ร่างนั้นก็เดินเข้าหาไอ้เปี๊ยกพร้อมกับยื่นมือทั้งสองข้างมาที่ตัวของมันโดยทันที ด้วยความตกใจ ไอเปี๊ยกจึงใช้มือทั้ง 2 ข้าง ปัดป้องแต่ร่างของดอกเตอร์พลก็ยังไม่ละความพยายามที่จะยื่นมือมาจับที่ตัวของไอเปี๊ยก และพยายามยื่นหน้าที่มีปากบดกัดกรามตลอดเวลาราวกับคนกำลังเคี้ยวอาหารเข้าไปเพื่อที่จะกัดร่างของไอเปี๊ยกให้ได้ เห็นดังนั้นมันจึงใช้มือทั้งสองข้างของมันจับแขนของดอกเตอร์และใช้แรงทั้งหมดดันร่างของดอกเตอร์หนุ่มให้ถอยห่างออกไป

“เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย ไอแหลม ช่วยกูด้วย อาจารย์แกเป็นบ้าอะไรวะ”

ด้วยความตกใจ ไอแหลมจึงรีบเข้าไปประชิดตัวดอกเตอร์พลจากทางด้านหลังแล้ว ล็อกแขนทั้งสองข้างทันที  แต่ร่างนั้นก็ยังคงครางลำคอ พร้อมบดกรามกรอดๆ กัดฟันเสียง หงึดๆ เหมือนอยากจะกัดกินอะไรสักอย่าง  แล้วดิ้นไปดิ้นมาตลอดเวลา

“เฮ้ย ข้าจะไม่ไหวแล้วนะเว้ยจะเอายังไงดีวะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันหว่า เผ่นกันก่อนดีกว่าไหมแล้วทิ้งแกไว้ตรงนี้แหละ”

“เอางั้นเหรอ”

สิ้นเสียงคำพูด  ไอแหลมก็ปล่อยแขนออกจากดอกเตอร์พลทันที แต่ร่างนั้นก็ยังเดินไปข้างหน้า เดินเข้าหาไอเปี๊ยก พร้อมกับใช้มือทั้งสองข้างยื่นไปที่ไอเปี๊ยกอีกครั้งหนึ่ง ฟันที่กัดกรามกรอดๆ หมายจะกัดฉีกเนื้อไอเปี๊ยกให้ขาดออกเป็นชิ้นๆให้ได้ ไอแหลมเห็นท่าไม่ดี จึงใช้กระบองสีดำ ยาวประมาณ 55 เซนติเมตร กว้างราว 5 เซนติเมตร ที่พกติดตัวมา  ฟาดไปที่บริเวณคอส่วนท้ายทอยอย่างเต็มแรง เพื่อให้ดอกเตอร์พลสลบไป แต่เรื่องไม่ได้เป็นแบบที่มันคิด ร่างของดอกเตอร์พลที่บัดนี้เหมือนคนไร้สติที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ค่อยๆหันมาทางไอ้แหลมแล้วใช้มือยื่นออกมาหมายจะจับไอ้แหลม และฉีกเนื้อกัดกิน ไอ้แหลมจึงใช้กระบองฟาดไปที่ตัวของดอกเตอร์พลอีกหลายครั้ง เป็นที่น่าแปลก ไม่มีเสียงร้องโอดโอย ด้วยความเจ็บแบบคนทั่วไป ร่างนั้นเพียงแต่เซตามแรงของไม้ที่กระแทกเข้ามา ขณะที่มันกำลังจะฟาดกระบองไปที่ร่างของดอกเตอร์อีกครั้ง คราวนี้เรื่องไม่คาดฝันก็กัดขึ้น เมื่อมือของดอกเตอร์นั้นได้ยื่นมาจับถูกแขนของมัน และใช้ปากกัดเข้าที่แขนของไอแหลมอย่างจังและกระชากอย่างเต็มแรงจนกระบองหลุดออกจากมือตกพื้นไป เลือดค่อยๆไหลทะลักออกมา ทำให้ชุดยามที่เคยเป็นสีฟ้าแขนยาว บัดนี้ที่บริเวณแขนเสื้อของมันเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด เสียงร้องครวญด้วยความเจ็บปวด จากการโดนกัดที่แขนดังลั่นห้อง ด้วยความตกใจและหมายจะช่วยเพื่อน ไอเปี๊ยกจึงใช้กระบองของไอแหลมที่ตกอยู่ที่พื้นฟาดไปที่หัวของดอกเตอร์พลขณะที่กำลังกัดที่แขนของไอแหลมและไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยไปง่ายๆอย่างนับครั้งไม่ถ้วน

ตุบ ตุบ ตุบ เสียงดังลั่นห้องปนกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของไอแหลมที่เปล่งออกมาตั้งแต่ต้น ณ ตอนนี้ร่างของดอกเตอร์พล ในสภาพที่เลือดไหลอาบหน้า สภาพหัวที่กะโหลกศีรษะยุบลงไป  ตุบ ไอเปี๊ยกฟาดซ้ำไปที่ศีรษะของดอกเตอร์อีกครั้งอย่างเต็มแรง และแล้วก็ได้ผล ปากที่ตอนนั้นกัดที่แขนของไอแหลมอยู่ บัดนี้ได้คลายออก และร่างนั้นๆค่อยล้มลงไปนอนกับพื้นห้องแบบจมกองเลือดพร้อมกับเศษชิ้นเนื้อสมองสีขาวที่กระจัดกระจายปนกับเลือดบริเวณพื้นห้อง สภาพศพของดอกเตอร์พลช่างน่าสยดสยองเป็นอย่างมาก กะโหลกศีรษะร้าวจนเปิดออก เห็นสมองบางส่วนทะลักออกมา และเศษชิ้นเนื้อของสมองบางส่วนที่กระจัดกระจายจากการที่โดนไม้กระบองฟาดเข้าไปอย่างเต็มแรง ไอเปี๊ยกบัดนี้เหมือนถูกมนต์สะกดได้แต่ยื่นนิ่ง มือไม้อ่อนแรง ไม้กระบองที่ใช้เป็นอาวุธเมื่อครู่นี้ ไม่มีแรงที่จะถือไว้อีกแต่ไป ได้แต่ยืนมองสภาพศพของดอกเตอร์พลอย่างหวาดกลัว มือไม้สั่นเทา หน้าซีดเหมือนไก่ต้ม ทำอะไรไม่ถูกเมื่อได้สติมันจึงรีบรุดเข้าไปหาไอแหลมทันที ซึ่งขณะนี้ร่างของไอแหลมได้นอนลงไปกับพื้นห้องถัดจากร่างของดอกเตอร์พล

“เฮ้ย เพื่อน เป็นไงบ้างวะ” พูดพร้อมกับเขย่าร่างของเพื่อนอย่างเต็มแรง

สักพักร่างของไอแหลมก็เริ่มมีอาการเกร็ง นิ้วมือทั้งสองข้างหักงองุ้มเข้าหาลำตัว ดวงตาเบิกโพลงจากดวงตาสีดำ ณ ตอนนี้ ได้เปลี่ยนเป็นดวงตาสีเทาอมขาวเหมือนกับดอกเตอร์พลและเจ้าหนูตัวนั้นไม่มีผิดเพี้ยน ร่างนั้นกระตุกแรงขึ้น แรงขึ้น คล้ายกับปลาถูกทุบหัว จากนั้นร่างนั้นจึงค่อยๆสงบลง และต่อมาร่างนั้นค่อยๆลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ปากที่เคยปิดสนิท กลับกลายเป็นค่อยๆอ้าออก เสียงครางในลำคอพร้อมกัดฟันกรอดๆหงึดๆ ท่าทางเหมือนหิวโซ และต้องการอาหารอันโอชะ  มือทั้งสองข้างค่อยๆยกขึ้น และจะเข้ามาจับที่ร่าง ไอ้เปี๊ยก ด้วยความตกใจสุดขีดมันจึงรีบปัดมือของไอ้แหลมออก

“เองเป็นอะไรไปวะ ไอ้แหลม นี่ข้าไง เพื่อนเองไง ไอ้เปี๊ยก”

ร่างของไอแหลม บัดนี้ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ ได้แต่กัดฟันกรอดๆ เดินเข้ามาที่ไอเปี๊ยกอีกครั้ง ไอเปี๊ยกเห็นท่าไม่ดี จึงรีบวิ่งหนีออกไปทางประตูหน้าห้อง แล้วหนีออกจากห้องไปทันที ก่อนไป เปี๊ยกได้ล็อกประตูกระจกจากทางด้านนอกอีกครั้ง โดยใช้เชือกน้ำมันสีขาวที่ห้อยติดตัวมากับเข็มขัดของตนมัดกับที่จับของประตูแล้วผูกกันเป็นปมไว้เพื่อให้ประตูปิดสนิทกัน ตึงๆครืดๆ แล้วมันก็ต้องตกใจสุดขีด เมื่อเห็นเงาของคนจากทางด้านในบริเวณประตูใช้มือทั้งสองข้างครืดไปกับประตูกระจก พร้อมกับเสียงครางหงึดๆในลำคอ เสียงกัดกรามกรอดๆ เงานั้นพยายามที่จะพังประตูออกมาให้ได้ไอ้เปี๊ยกได้แต่คิดในใจ ขืนเรายังอยู่ที่นี่ต่อไป เราต้องกลายเป็นแบบไอ้แหลมแน่ๆ คิดได้ดังนั้นมันจึงรีบวิ่งลงมาจากชั้น 2 และเข้าไปเก็บสัมภาระในป้อมยามของมัน จากนั้นรีบขับมอเตอร์ไซต์ฮอนด้าเวฟสีน้ำเงินคู่ใจออกจากมหาวิทยาลัยไปโดยทันที มันไม่รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางของมันจะอยู่ที่ไหน ตอนนี้ไอเปี๊ยกรู้เพียงแต่ว่าต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่านั้น

 

 

 

 

 

แสดงเพิ่มเติม

รีวิว (0)

เรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว