ฝากตัวกับนิยายเรื่องแรกของผมด้วยนะครับ
เรื่องราวความรักของหนุ่ม ๆ นักเรียนมัธยมปลาย
Teen-love Stories
รักนี้แค่ “มึง” ก็พอ
This love.
ผมชื่อพีครับ พีรณัฐ อภิพัฒนานันท์ ผมเป็นเด็ก ม.5 ธรรมดา ๆ คนนึงที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่น ๆ เรียนก็งั้น ๆ หน้าตาก็เฉย ๆ แต่ออกจะค่อนไปทางแขกนิด ๆ จนโดนถามตลอดว่าเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า แหม...ถ้าเป็นก็ดีสิครับผมจะได้หล่อกว่านี้ ติดที่ว่าพ่อกับแม่ดันเป็นไทยแท้ซะนี่ เหตุผลหลัก ๆ ที่คนมองมักจะบอกว่าผมเป็นลูกครึ่งคือผมหน้าคม ดั้งโด่งเป็นสัน ผิวไม่ขาวมากออกจะคล้ำนิด ๆ ด้วยซ้ำ ผมหยักศก ตัวบางนิด ๆ แต่สมส่วน บางคนก็บอกว่าผมน่ารัก แต่ผมเองกลับไม่เห็นว่าตัวเองจะน่ารักอะไรยังไงซักนิด
ถึงจะอย่างนั้นแต่ผมก็พอจะมีแฟนคลับอยู่บ้างนะครับ เป็นพวกตุ๊ดเด็กที่บอกว่าผมหล่อ น่ารัก ดูตะมุตะมิตามสไตล์พวกเขานั่นแหละครับ อีกอย่างผมก็มักจะถูกเหล่าสาววายในโรงเรียนจับคู่ให้ผมจิ้นกับไอ้อาร์ตเพื่อนห้องเดียวกันที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ๆ
“เชี่ย...พีระวัง” เสียงอุทานลั่นอย่างตกใจพร้อมกับเสียงวิ่งตึก ๆ ข้ามสนามบาสออกมามันมุ่งตรงมาที่ผมอย่างรวดเร็ว ผมหันกลับไปมองตามเสียงนั้น ดวงตาผมเบิกโพลงอ้าปากเหวอตกใจกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าทันทีเมื่อลูกบาสที่ลอยละลิ่วหมุนเป็นเกลียวพุ่งตรงมาที่ผม สมองมันสั่งการให้ผมหลบแล้วแต่ตัวผมมันไม่ยอมขยับ ขาผมก็แข็งไม่ยอมก้าวออกมัวแต่ยืนตกใจตาค้างอยู่อย่างนั้น
"เชี่ย!" ผมอุทานลั่นเมื่อลูกบาสพุ่งตรงเข้ามาใส่หน้าผมอย่างจังจนตัวผมหงายลงไปกลิ้งหลุน ๆ อยู่กับพื้นตามลูกบาสที่เพิ่งกระแทกหน้าผมไป
"เชี่ย...พีเป็นไรปะวะ" อาร์ตทรุดนั่งลงดูผมที่นอนหายใจหอบ ๆ อย่างตกใจ
"..." ผมไม่พูดอะไรแต่มองหน้ามันกลับไปอย่างโกรธ ๆ
"โทษทีมึงกูรับไม่ทันลูกมันแรงไปหน่อย มึงลุกไหวไหม" มันช่วยประคองผมให้ลุกขึ้นมานั่งอยู่ข้างไอ้ลูกบาสเจ้ากรรมนั่น
"มึงแม่งกระจอกว่ะ รับไม่ดีเองเสือกมาโทษลูกบาส" ผมโวยวายใส่มันเพราะลูกบาสลูกไม่ใช่เล็ก ๆ หนักก็หนักกระแทกเข้าหน้าเต็ม ๆ
"เชี่ยไรล่ะ กูแค่พลาดเองไม่ได้กระจอกอย่างมึงว่าไอ้สัตว์ " มันเถียงผมกลับอย่างไม่ยอมรับ
นี่คืออาร์ตครับไอ้คนที่ผมโดนจับจิ้นด้วยนั่นแหละ อาร์ต เป็นนักบาสของโรงเรียน หน้าตาดี หล่อขาวใส ปากอมชมพู ดัดฟัน ผิวขาวเนียน ตัวสูงซัก 183 น่าจะได้ หุ่นล่ำแบบนักกีฬาบาส แถมมีดีกรีเป็นรองเดือนโรงเรียน เป็นดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน แถมเรียนโคตรเก่งทั้ง ๆ ที่มันก็หลับในห้องเรียนตลอด แต่คะแนนสอบออกมาแม่งท็อปทุกทีทุกวิชาด้วย ต่างจากผมที่มีตำแหน่งเป็นรองเหมือนกันแต่เป็นบ๊วยของห้องตลอดนะครับ
ด้วยความที่มันทั้งหล่อและเป็นอะไรต่าง ๆ สารพัดที่มันเป็นได้ ทำให้ทั้งสาวแท้สาวเทียมตามกรี๊ดมันอยู่ตลอดไม่ห่าง บางทีก็มีขนมมาให้ เอาของมาฝากบ้างตามสไตล์หนุ่มฮอตแหละครับ แต่จริง ๆ แล้วมันออกจะหน้ารำคาญเพราะสำหรับผมมันแม่งกวนตีนที่สุดหาเรื่องมาแกล้งผมได้ตลอดไม่เว้นแต่ละวัน แต่ก็คงเป็นเพราะผมกับมันเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ และด้วยความสนิทกันนี่แหละครับมันเลยทำให้เกิดเรื่องราวมากมายระหว่างผมกับอาร์ต และเพื่อน ๆ อีกหลายคนที่เกี่ยวข้องกับผม
“มึงมาด่ากูทำเชี่ยไรพี" มันทำหน้าหงุดหงิดใส่ผมที่ยังนั่งมึน ๆ จากแรงกระแทกของไอ้เจ้าลูกบาสตัวดีที่หยุดนิ่งอยู่ข้างตัวผม
"กูด่าอะไรมึง" ผมขยับตัวไปนั่งพิงเสาหลังคาทางเดินรอให้หายมึนก่อนค่อยลุกขึ้น
"มึงด่ากูกระจอก" มันทำเหวี่ยงเสียงใส่ผมที่นั่งฟังมันแบบเบลอ ๆ
“ก็มึงมันกระจอกจริงนี่หว่า บาสลูกเดียวปล่อยให้หลุดออกมานอกสนามได้ไม่พอยังมาโดนคนที่เดินอยู่อีก แบบนี้กระจอกไหมล่ะ” ผมเถียงมันทั้งที่ยังนั่งอยู่ตรงนั้น
“กูแค่พลาดนิดเดียวเอง แต่อย่ามาหาว่ากูกระจอก กูไม่ได้กระจอกโว่ย” ไอ้คนตรงหน้าผมมันทำสีหน้าจริงจังเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อผมให้ได้ กะอีแค่ด่าว่ากระจอกนิดเดียวทำเป็นเลือดขึ้นหน้า
“เออ ๆ แล้วแต่มึงเลย รำคาญว่ะ” ผมตอบปัดไปให้มันจบ ๆ เรื่อง
“เออ ดีมาก แล้วนี่มึงเป็นยังไง ลุกไหวไหม ให้กูพาไปห้องพยาบาลไหม” มันทำท่าจะเข้ามาประคองผมลุกคน คนที่เพิ่งเล่นบาสมาแบบหนัก ๆ เหงื่อที่ออกมาติดอยู่ที่หน้าและคอของมันทำให้เห็นผิวที่แท้จริงของมันชัดเจนขึ้นมา คนตรงหน้าผมมันขยับเข้ามาจับที่ไหล่เพื่อช่วยประคองผมให้ลุกขึ้น
ผมค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นตามแรงที่มันพยุงผมขึ้นมา พลางมองไปที่ใบหน้าและลำคอขาวเนียนนั้น แปลกจังทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นแรงกว่าปกติแถมยังรู้สึกว่ามันร้อน ๆ อยู่ที่หน้า เกิดอะไรกับผมกันแน่ ทำไม่รู้สึกแปลก ๆ แบบนี้ได้ก็ไม่รู้
"ทำไมมึงหน้าแดงหูแดงแบบนี้วะ เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย ไหวไหมมึง" มันเอามามือใหญ่ ๆ มาจับสัมผัสลงที่ใบหน้าของผม ทำเอาผมขนลุกวาบไปทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
"แดงเชี่ยไร" ผมรีบเอามือจับหน้าจับหูตัวเอง ไม่รู้หรอกครับว่าแดงจริงเหมือนที่มันบอกไหม แต่ก็คงจะแดงจริงอย่างว่าเพราะความรู้สึกร้อนผ่าว ๆ ทั้งที่หน้าและที่หูของผมมันยังไม่หายไปเลยจากเมื่อกี้นี้
“เดี๋ยวนะ” อาร์ตมองผมแบบมี้เลศนัยอะไรแปลก ๆ
“อะไร” ผมถามอย่างแอบหวั่นใจ
“นี่มึงหน้าแดง หูแดงแบบนี้กูว่าไม่ได้เป็นเพราะลูกบาสแล้วว่ะ...มึงเขินกูปะเนี่ย” ไอ้อาร์ตยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“เชี่ยไรล่ะ ป่าวซะหน่อย” ผมรีบปฏิเสธมทันทีทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
“นี่ไง...มึงเขินกู...มึงชอบกูใช่ไหมพี” มันหยิกที่แก้มผมเบา ๆ ผมรีบเบือนหน้าหนีแล้วปัดมือมันออก
“แล้วทำไมกูต้องชอบมึงด้วย...แหวะ จะอ้วก” ผมทำท่าจะอ้วกใส่หน้ามัน
“กูหล่อไง” มันลอยหน้าลอยตาตอบอย่างไม่เขินอาย
“หล่อพ่อมึงดิ หลงตัวเองฉิบหาย” ผมเบะปากใส่มัน
"อ๊าว...ใคร ๆ ก็บอกว่ากูหล่อทั้งนั้นแหละ นี่กูใคร รองเดือนโรงเรียนเลยนะมึง" มันคุยโวแล้วทำท่าทางภูมิอกภูมิใจกับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับ
"แล้วไงวะ กูว่ากรรมการตาถั่วแหละถึงได้เลือกมึงเป็นรองเดือนน่ะ" ผมเบะปากใส่มันที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะดันตัวมันออกแล้วเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินออกมาให้ผมจากตรงนั้นอย่างรำคาญทั้งที่ยังมึน ๆ อยู่นั่นแหละ
ส่วนไอ้คนหลงตัวเองนั่นก็ยังตะโกนบอกว่าตัวเองหล่อ ล้อเลียนว่าผมชอบมันตามหลังผมมาเสียงดังลั่น คนอื่น ๆ ที่นั่งอยู่ตามม้าหินหรือศาลาต่าง ๆ ก็หันมามองที่ผมแล้วหันกลับไปซุบซิบ หัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกโดยเฉพาะบรรดาสาววายสายชอบจับผู้ชายจิ้นกันที่ออกจะชอบใจเอามาก ๆ ถึงขนาดยกมือถือขึ้นมาถ่ายรูปผมกับอาร์ตกันเลยทีเดียว ผมนี่อายแสนอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินมุดหนีไปซะให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ทำไม่ได้เลยได้แต่รีบเดินหนีออกไปให้ไวแล้วเลี้ยวหลบเข้าไปที่มุมทางเดินระหว่างตึก หนีกลับขึ้นไปที่ห้องเรียนเพื่อหลบสายตาเหล่านั้น
อาร์ตมันเป็นคนชอบแกล้งเพื่อนแบบนี้เสมอครับไม่ว่าเพื่อนคนไหนมันก็แกล้งหมดแต่ที่หนักกว่าคนอื่นก็เห็นจะเป็นผมเองนี่แหละที่ไม่ว่าตรงไหนเมื่อไหร่เวลาไหนเจอทีไรเป็นแกล้งทุกที
ผมกับอาร์ตเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ ม.1 แต่อันที่จริงเรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ เราเรียนเนิร์สเซอร์รี่ที่เดียวกัน อนุบาลก็ที่เดียวกัน จนตอนนี้ ม.5 แล้วก็ยังเรียนที่โรงเรียนเดียวกันแถมอยู่ห้องเดียวกันอีก บางทีผมก็เบื่อขี้หน้ามันจะแย่แต่ในบางทีก็รู้สึกว่าดีใจที่มีมันอยู่กับผมตลอด มันคงเป็นความรู้สึกอุ่นใจมั้งครับ มีเพื่อนตั้งแต่เด็ก ๆ มาอยู่ด้วยกันใกล้ ๆ ถึงแม้จะไม่ได้รักกันกลมเกลียวแต่ก็สบายใจดีไปอีกแบบแถมไม่เหงาด้วย
“เชี่ยอาร์ตกูถามจริง ๆ นะมึง จะมีวันไหนไหมที่มึงจะไม่แกล้งกูเนี่ย” ผมถามหลังจากที่โดนมันแกล้งเดินมาขยี้หัวผมเล่นจนฟูฟ่องเป็นรังนก
“ก็วันที่กูไม่ได้อยู่ใกล้ๆมึงไง...” มันหันกลับมาตอบหลังจากที่เดินกลับไปจนถึงโต๊ะม้าหินอีกตัวที่อยู่ไม่ไกลนัก
อาร์ตตอบออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไร หรือว่าจริง ๆ แล้วมันคิดผมก็ไม่รู้ แต่สำหรับผมแล้วคำตอบของมันทำให้ตัวผมชาไปหมดจะขยับปากพูดก็พูดไม่ได้ เหมือนโดนอะไรแข็ง ๆ ฟาดเข้ามาที่หน้าอย่างแรง
หน้าผมเริ่มแดงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันเดินเข้ามาใกล้ตัวผม มือหนา ๆ ของมันแตะลงมาที่แก้มทั้งสองข้างของผมแล้วจับหน้าผมเอียงไปมาเบา ๆ วินาทีที่ผมเงยขึ้นไปมองหน้ามันภาพตรงหน้าที่อยู่ใกล้ผมมากเหลือเกินนั้นมันเป็นใบหน้าของผู้ชายคนนึงที่หล่อเหลา ดวงตาเป็นประกายรับกับขนตาที่เรียวยาวเรียงตัวกันสวย จมูกโด่งพองามเป็นสันบาง ๆ รับกับริมฝีปากอิ่มสีชมพูอมแดงระเรื่อกับเหล็กดัดฟันสีแดงนั้น มันเหมือนทำให้เวลาทั้งหมดหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ท่ามกลางนักเรียนมากมายที่เดินไปเดินมากันเต็มบริเวณไปหมด แต่เหมือนกับว่าตรงนี้มีเพียงแค่ผมกับอาร์ตสองคนที่ยืนอยู่ ความรู้สึกแปลก ๆ มันพุ่งพล่านอยู่ในตัวผมเต็มไปหมดจนผมสับสนในตัวเองและจัดการกับความรู้สึกในใจตัวเองตอนนี้ไม่ได้เลยและไม่สามารถรู้ได้เลยว่าที่ผมกำลังเป็นอยู่ตอนนี้มันคืออะไร
“พี...พี...เชี่ย! เป็นไรวะเนี่ย ช็อคเลยหรอวะ” อาร์ตตบที่หน้าผมเบา ๆ พร้อมกับเลื่อนมือลงมาที่ไหล่แล้วเขย่าจนผมสะดุ้งดึงสติตัวเองกลับมา
"เปล่า ๆ กูแค่…" มันเลื่อนหน้าเข้ามาจ้องผมอีกครั้งจนผมจะหลุดเข้าไปในความรู้สึกแบบนั้นอีกรอบ ผมต้องรีบดึงตัวเองถอยออกมาแล้วดันตัวมันออกไป
“กูแกล้งมึงไง ถามดี ๆ เสือกดึงดราม่าซะงั้น...ก็วันที่กูไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ มึงไง” ผมรีบตอบมันออกไปเพื่อแก้เก้อที่เหม่อลอยไปแบบนั้นแถมยังเลียนเสียงและทำหน้าล้อเลียมันพอให้ได้กลบเกลื่อนความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองไปก่อน
“กูพูดจริงนะพี ที่กูแกล้งมึงทุกวันน่ะ กูก็แค่อยากอยู่ใกล้ ๆ มึง” อาร์ตทำน้ำเสียงและสีหน้าจริงจัง
“พอเลย...แล้วทำไมมึงต้องมาอยากอยู่ใกล้ ๆ กูด้วยไม่ทราบ ก็เจอกันทุกวันอยู่แล้วไม่ใช่หรอวะ” ผมเถียงเพื่อพยายามกลบความรู้สึกของตัวเองอีกรอบ
“มันไม่เหมือนกันเว่ย” อาร์ตเถียงกลับอย่างจริงจัง
“ไม่เหมือนยังไงของมึง กูชักจะงงละ”
“กูว่ากู.......”
“เชี่ยอาร์ตทำไรอยู่วะ เพื่อนรอซ้อมอยู่เร็ว ๆ เลย” ไอ้นิกวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขัดจังหวะการคุยของผมกับอาร์ตซะก่อน ผมเลยไม่รู้เลยว่ามันจะบอกอะไรต่อ อาร์ตหันหน้ามามองผมอย่างเสียดาย มือหนา ๆ ของมันบีบลงที่ไหล่ผมเบา ๆ ก่อนวิ่งตามไอ้นิกไป
เย็นวันนั้นหลังจากเลิกเรียนผมรีบลงมาจากตึกเพื่อรีบกลับบ้าน เพราะดูจากจากสภาพท้องฟ้าที่มีเมฆฝนตั้งเค้ามาขนาดนี้ ดูท่าทางฝนจะคงตกหนักแน่ ในระหว่างที่จะออกจากโรงเรียนก็เดินผ่านไปที่สนามบาสเห็นไอ้อาร์ตยังคงซ้อมอยู่ไม่ได้มีทีท่ากลัวฝนเหมือนกับผมซักเท่าไหร่ มันหันมาเห็นผมที่กำลังยกมือจะส่งสัญญาณบ๊ายบายให้มัน แต่มันดันรีบหันหน้ากลับไปซ้อมต่อทันทีแบบไม่สนใจผมเลยซักนิด กลายเป็นว่าผมก็ยกมือขึ้นมาเก้อไปตามระเบียบ
"ไอ้เชี่ย ทำเป็นไม่เห็นกู ยกมือเก้อเลย อายนะโว่ย" ผมบ่นพึมพำกับตัวเองแล้วก็รีบเดินออกไปจากโรงเรียนเพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน
ผมยืนรอที่ป้ายรถเมล์กับผู้คนมากมายที่คงจะคิดเหมือนกับผมว่าถ้าช้ากว่านี้คงได้เปียกกันแน่ ไม่นานนักรถเมล์สายประจำก็มาจอดเทียบเกือบจะเลยป้าย ด้วยความชำนาญในการแย่งชิงการขึ้นรถเมล์ของผมบวกกับตัวเล็ก ๆ บาง ๆ ของผมทำให้ผมแทรกตัวจากผู้โดยสารคนอื่น ๆ ก้าวขึ้นไปเหยียบที่บันไดรถเมล์ได้
ทันทีที่ก้าวขาขึ้นรถเมล์ปุ๊บฝนที่ผมคิดไว้แต่แรกว่าต้องตกก็เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักทันทีและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหรือซาลงเลยตลอดทางที่ผมนั่งมา
“อีกสองป้ายจะถึงบ้านแล้วเนี่ย ซาลงหน่อยสิครับคุณฝนใจดี สงสารเด็กน้อยตาดำ ๆ อย่างผมเถอะครับ” ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถที่ฝนยังตกกระหน่ำลงมา ยกมือไหว้ปลก ๆ จนคนที่นั่งข้าง ๆ หันมามองอย่างประหลาด จนในที่สุดก็ถึงหน้าปากซอยบ้านผม คำอ้อนวอนจากเด็กน้อยตาดำ ๆ อย่างผมก็ไม่สำเร็จเพราะไอ้ฝนใจร้ายแม่งยังตกไม่หยุดแถมหนักขึ้นกว่าเดิมอีก บ้าที่สุดเลย ทีนี้ก็เปียกสิครับร่มก็ไม่มี
ลงจากรถเมล์ได้ผมก็รีบวิ่งไปที่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่อยู่หน้าปากซอย
“เชี่ยละ! ไม่มีซักคัน แม่งหายไปไหนกันหมดวะ ทีไม่ต้องการจอดกันให้พรึบ พอโคตรต้องการแม่งไม่มีซักคันซวยฉิยหายเลยกู เอาไงดีวะเนี่ย” ผมโวยวายอยู่กับตัวเองแล้วมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่หลบฝน จนหันไปเห็นตู้โทรศัพท์สาธารณะเก่าที่ใช้การไม่ได้แล้วตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับวินมอเตอร์ไซค์ เหมือนเป็นโชคดีเล็ก ๆ ของผมที่ยังพอมีที่ให้หลบฝนได้บ้างผมเลยรีบเดินเข้าไปหลบในนั้นก่อนรอจนกว่าฝนจะหยุดตกแล้วค่อยเดินเข้าบ้าน
บ้านของผมอยู่ในซอยค่อนข้างลึก ปกติแล้วจะมีวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดเต็มไปหมดแต่วันนี้ดันไม่มีเลยซักคันเป็นแบบนี้ประจำ บางทีก็เหลืออยู่คันเดียวแต่ก็ไม่ยอมไปส่งผู้โดยสายก็มีเพราะเล่นเกมในมือถืออยู่ ส่วนใหญ่วินมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอยบ้านผมก็จะเป็นพวกวัยรุ่นที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงาน มาหารายได้ไปเต็มเกมบ้างไปซื้ออุปกรณ์แต่งรถบ้างก็เลยเอาแน่เอานอนอะไรกับพวกพี่แกไม่ค่อยจะได้ ดูอย่างวันนี้เป็นต้นสงสัยกลัวเปียกฝนเลยไม่ออกมาขับวินกัน
ผมนั่งกดมือถือเล่นอยู่ในตู้โทรศัพท์ได้ซักพักใหญ่ ๆ ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แถมดูเหมือนจะตกหนักกว่าเดิมก็เลยยังต้องนั่งอยู่ในนี้อีกซักพักอย่างน่าเบื่อ ทันทีที่ก้มลงเพื่อจะเข้าเฟสบุ๊ก ก็มีไลน์เด้งเข้ามา
Art : มึงอยู่ไหนเนี่ย
Art : ถึงบ้านยัง
Art : ฝนตกโคตรหนัก
Art : มึงเปียกปะเนี่ย
Art : มึงมีร่มปะวะ
Art : ให้กูไปส่งไหม
Art : มึงตอบกูดิวะ
Art : มึงเงียบทำไมเนี่ย
ทุกข้อความที่มันส่งมาห่างกันไม่ถึงหนึ่งวินาที ยังจะมาบอกว่าผมไม่ตอบอีก ไม่คิดบ้างเลยมั้งว่ามันเองนั่นแหละที่ไม่เว้นช่องให้ผมได้ตอบเลยซักนิดจนผมต้องพิมพ์ด่ามันกลับไป
พี : เชี่ย!
พี : มึงหยุดพิมพ์ดิ๊
พี : กูตอบไม่ทันโว่ย
Art : เออโทด
Art : ตอบมา
พี : กูหลบฝนอยู่ในตู้โทสับหน้าปากซอยบ้านเนี่ย
พี : วินไม่มี
พี : ยังเข้าบ้านไม่ได้เลย
ผมพิมพ์ไปก็ออกจะหงุดหงิดไป อาร์ตมันอ่านข้อความที่ผมส่งไปครู่หนึ่งมันถึงตอบกลับมา
Art : รอกูอยู่ตรงนั้นเลย
พี : รอไมวะ
ผมรีบถามกลับเพราะไม่เข้าใจว่ามันจะให้ผมรอทำไม มันอ่านแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมเองก็ขี้เกียจจะรอเลยปิดไลน์แล้วเข้าไปไถเฟสบุ๊กดูอย่างเบื่อ ๆ ก็เลยหาเรื่องโพสต์สเตตัสเล่น ๆ แกเบื่อ
Peranat Apipatthanananta
1 นาที
วันซวย ๆ
(ภาพเท้าผมที่เปียกโชก)
ถูกใจ 10 ความเห็น 1
Art Anawat : รอกูอยู่ตรงนั้นแหละ
อาร์ตคือคนแรกที่กดไลก์และคอมเมนต์สเตตัสที่ผมเพิ่งลงได้ไม่ถึงหนึ่งนาที และคอมเมนต์ของมันก็เป็นข้อความแกมสั่งแบบเดียวกับในไลน์ว่าให้ผมรอมันอยู่ตรงนี้
“ต้องรอทำไมวะ...ไม่เห็นจะเข้าใจเลย…”
****************************************************************************************************
กดถูกใจและขอคอมเมนต์เป็นกำลังใจกันหน่อยนะครับ
รีไรท์ตอนเก่า ๆ ครบหมดแล้วนะครับ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่ให้กันตลอดมาตั้งแต่วันแรกที่ลงนิยายเรื่องนี้เลยนะครับ ขอบคุณจากใจจริง ๆ ครับ
แล้วพบกันใหม่กับเรื่องต่อในเซต Teen-love Stories
เรื่อง The Flower of Poet เร็ว ๆ นี้ครับ
***************************************