Capitolo
ลำนำปราสาทสีเงิน
เมือง บาร์ ธา ซ่าร์
เมืองที่เต็มไปด้วยทรัพยากรทางด้านเกษตรกรรม แร่ธาตุ รวมถึงทรัพยากรทางด้านทหารแต่เมื่อไม่นานมานี้บาร์ ธา ซ่าร์ น่าจะเริ่มเข้าสู่ยุคมืด เพราะเริ่มมีบุคคลแปลกเดินเข้าออกเมืองเป็นว่าเล่น ทหารต่างเมืองนั้นน่ากลัวตัวสูงใหญ่ราวกับยักษ์ไททัน ไม่รู้ว่าท่านพ่อปล่อยพวกมันเข้าเมืองมาได้อย่างไร
“องค์ชายเพคะ พระราชาทรงให้มาตามเสด็จเพคะ”
“ได้เดี๋ยวเราตามไป เราขอร่ายเวทย์นี้ให้สำเร็จเสียก่อน เออ ข้าหวังว่าเสด็จพ่อคงจะเข้าใจข้านะ”
“เพคะ”
บุตรชายคนเดียวของกษัตริย์ดาร์เลเน่ บาร์ธาซ่า ครูส ซึ่งนั่นก็คือข้า ดาร์เลเน่ เทรย์เวอร์ สเวน(Dalene Trevor Sven)ผู้เชี่ยวชาญด้านเวทย์และด้านการปรุงยา เมื่อไม่นานมานี้ข้าก็ชนะการประเวทย์ บาร์ธาซ่า ครั้งที่10มาอีกด้วย ถ้าจะไม่ได้จะพูดชมตัวเองเลยจริงๆ
“แกว่งไม้เวทย์เช่นนั้น ต่อให้เจ้าแกว่งให้หักยังไงมนต์บทนั้นคงไม่สำเร็จ”เสียงทุ้มต่ำ ดังขึ้นข้างหลังข้าก้าวถอยหลังแล้วหันไปดู ก็เห็นมนุษย์ชุดเกราะยืนนิ่งอยู่ ข้ามองอย่างไม่ไว้วางใจทั้งของมนุษย์ผู้นั้นมีชุดเกราะสีดำ ส่วนใบหน้าก็ถูกปดปิดด้วยเกราะเหล็กสีดำอีกเช่นกัน.....หรือว่า
“นักรบแห่งความมืดหรือ”
“หึ รู้ด้วย”
“แน่นอนสิชื่อเสีย เอิ่ม ชื่อเสียงเจ้าดังกระฉ่อนไปทั่วทุกทวีปแล้วมั้ง”สีตาดำขลับคู่นั้นทำให้ข้ารู้สึกอดอัดแปลกๆเหมือนกับว่าเจ้าหมอนี่สามารถมองทะลุชุดของข้าได้ซะอย่างนั้น
“เรื่องบางเรื่องต้องมองด้วยตาหากฟังเพียงหูบางทีก็ไม่สามารถกรองข่าวสารอันใดได้”น้ำดูถูกปนเย้ยหยันนั้นถูกส่งมาให้ข้า ข้ากำไม้เวทย์ที่อยู่ในมือแน่น อยากจะสาปเจ้าหมอนี่ให้เป็นกบเสียจริง
“เหอะ งั้นคนทั้งทวีปก็คงไม่สามารถกรองข่าวสารได้เหมือนข้าหรอกนะ นักรบแห่งความมืดมั่วนารีเป็นว่าเล่น ทำบุตรสาวขุนนางท้องแล้วก็มิสนใจใยดี”
“หึ อันนั้นก็แล้วแต่เจ้าจะคิดข้าคงไม่สามารถไปบงการสมองของเจ้าได้”น้ำเสียงที่นิ่งไม่สนใจกับสิ่งที่ข้าพูดนั้น มันกระตุ้นต่อมโมโหของข้านัก สงสัยคงต้องลองให้เป็นสัตว์ชั้นต่ำดูสักวันเสียแล้ว
“เบธีโอ มาคาเรซูเรโน่ รานา”มนต์สีเขียวพุ่งตรงสู่นักรบชุดเกราะ โดยที่เจ้าตัวยังยืนนิ่งทำเป็นนิ่งไปเถอะถ้ามาขอร้องให้ข้าแก้มนต์ให้ทีหลังข้าจะหัวเราะให้ดู
“หึ เด็ก”เสียงหัวเราะขึ้นจมูกทำให้ข้าต้องหันกลับไปมองทันที
“จะ เจ้า ทำไมถึง”
“นี่หรือนักร่ายเวทย์ที่เก่งที่สุดของเมือง ข้าชักสงสารชาวเมืองแล้วสิ”ข้าได้แต่ยืนนิ่งงัน ทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลย เจ้ามนุษย์ผู้นี้คือใครกันแน่
“มัวแต่ตะลึงอยู่นั่นแหละ”เสียงทุ้มดังขึ้นด้านหลัง ทำให้ข้าสะดุ้งจะหันกลับไปมองแต่ก็ไม่สามารถทำได้ มือแกร่งจับมือเล็กไว้เพียงแผ่วเบา แต่คนที่อยู่ในอ้อมกอดก็ไม่สามารถขยับได้เช่นกัน
“เจ้า”
“ชู่วววว เบาก่อนฟังข้านะ โบกเบาๆแบบนี้”เพียงสะบัดนิดเดียวลูกไฟก็เกิดที่ปลายของไม้เวทย์ มนต์ป้องกันชั้นสูงเกิดขึ้นตรงหน้า
“เจ้าเป็นใครกัน”
“อีกไม่นานเจ้าจะรู้เทรส”กล่าวจบเจ้าหมอนั่นก็เดินออกไป แต่สิ่งติดใจข้าอยู่ไม่ใช่อะไรนอกจาก เจ้านั่นก้าวเข้ามาหาตนตอนไหนหรือใช้มนต์อันใดในการหายตัว
“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าคงจะได้เวลาเสด็จไปพบพระราชาแล้วเพคะ”
“อืม จงพาข้าไปเปลี่ยนชุดก่อน”หญิงรับใช้ค้อมตัวให้ก่อนเลี่ยงให้องค์ชายเดินนำไปก่อน
ท้องพระโรงบาร์ธาซ่าร์
เมื่อตนเองได้เข้าเฝ้าเสด็จพ่อของตนเองแล้วเทรย์เวอร์ก็ได้เสด็จมางานเลี้ยงต้อนรับของใครสักคนที่เป็นคนสำคัญมาก จนขนาดงานเลี้ยงยังจัดอลังการกว่างานเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของตนเองเสียอีก
“นี่มิเกลเจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านพ่อของข้าเชิญใครมาที่วัง”ไม่พูดเปล่า มือบางฉวยใบหน้าขาวขึ้นมาจนลมหายใจรดใส่ใบหน้าของคนตรงหน้า
“กระหม่อมมิอาจทราบได้ขอรับ...อะ”เสียงหวานๆถูกปิดด้วยริมฝีปากขององค์ชายตรงหน้า มือเล็กๆนั่นพยายามพลักอกคนตรงหน้าออกไป เพราะพวกตนไม่ได้อยู่แค่สองคนแต่ที่นี่มันท้องพระโรงแถมตอนนี้สายตาของคนที่ถูกเชิญมางานเลี้ยงต่างพากันมองมาที่พวกตนกันหมดแล้ว
“อืม....ปากเจ้ายังหวานไม่เปลี่ยน”
“องค์ชายที่นี่ไม่ใช่ห้องบรรทมของพระองค์นะพระเจ้าค่ะ”มิเกลเริ่มใช้ศัพท์ที่เป็นทางการกับตนเสียแล้ว
“เจ้าเคร่งเกินไปนะมิเกล อีกอย่างเจ้าเป็นสนมของข้าเหตุใดต้องเกรงใจคนอื่น”ชักเริ่มอารมณ์เสียนิดๆเสียแล้ว ตนเลยเดินออกมาจากสนมที่ทำหน้าเศร้าไปทันที
“ท่านไม่รู้อะไรจริงๆสินะองค์ชายที่รักของข้า”เมื่อมิเกลเดินออกไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาปกติเช่นเคย เสียงสรวลเฮฮาค่อยๆเงียบลงเมื่อบานประตูท้องพระโรงเปิด เสียงเท้ากระทบพื้นหนักๆ ทำให้ทุกคนในนี้ถึงกับอึดอัดแต่หากเป็นหญิงสาวทุกคนในที่นี้แล้วล่ะก็พวกนางจ้องไปที่บุรุษตรงหน้าเหมือนกับต้องมนต์สะกด ดังองค์ชายของเมืองนี้สายตาเรียวเล็กจับจ้องไปที่คนตรงหน้า อย่างมิอาจละสายตาได้ ผิวที่ขาวซีดนั้นรับกับคิ้วและผมที่ดำสนิทที่ยาวระต้นคอ นัยต์ตาที่ดำขลับ ริมฝีปากที่ซีดเซียวนั้น ทั้งหมดเหมือนดั่งจิตรกรปั้นแต่ง งดงามดั่งรูปสลัก
“ถวายบังคมกษัตริย์แห่งบาร์ธาซ่าร์ ข้า อามันโด ฮาเกน กันนาร์(Armando Hagen Ganna)ข้าแม่ทัพแห่งอาณาจักรเอรีส ขอถวายความเคารพแก่พระองค์และพระชายารวมถึงบุตรชายคนเดียวของท่านด้วย”เสียงทุ้มนั้นยิ่งกังวานดังไปทั่วท้องเพราะโรงเพราะตอนนี้คนต้องละทิ้งหน้าที่ที่กระทำแล้วหันมามองบุรุษตรงหน้าแทน
“เจ้าก็ทำซะทางการเกินไปแล้วกันนาร์”
“หากข้ามิทำเช่นนี้ชาวเมืองของท่านคงต้องตามฆ่าเป็นแน่ ข้อหาหมิ่นเกียรติกษัตริย์ที่พวกเขารัก”
“หึหึ เจ้านี่นะ เอาเถอะมาร่วมดื่มฉลองให้แก่เจ้าเถอะ ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายตามสบายเถิดตักตวงความสุขให้เต็มที่ก่อนที่จะไม่มีโอกาส เสียงเฮลั่นท้องพระโรง
“เอาล่ะข้าขอแนะนำนี่บุตรชายของข้า เดอเลเน่ เทรย์เวอร์ สเวน เรียกว่าเทรสก็ได้นะ”ทั้งสองทำความเคารพให้แก่กัน ก่อนที่กษัตริย์ของเมืองจะชวนแม่ทัพของเอรีสไปคุยเรื่องที่แม้แต่เทรสยังไม่รู้
ค่ำคืนที่แสนครื้นเครงสงบลง แต่สิ่งที่มาแทนที่คือยุคมืดของจริง ป้อมปราการของเมืองบาร์ธาซ่าร์ถูกโจมตีจากเมืองทางตอนใต้ทหารบาดเจ็บล้มตายไปมากราชินีของเมือง ถูกส่งตัวไปซ่อนที่ปลอดภัย พวกผู้หญิงถูกพาไปหลุมหลบภัยที่ไม่มีใครรู้ เพราะการร่ายเวทย์ขององค์ชายแห่งบาร์ธาซ่าร์
“แฮ่กๆไอ้เจ้าพวกปีศาจโสโครกพวกนี้ ทำไมไม่ตายไปให้หมด”เทรสยืนมองบ้านเมืองตนเองที่ถูกปีศาจรับใช้ของ เจ้าพวกเมืองทางตอนใต้ที่อยากได้เมืองนี้ที่มีทรัพยากรทุกอย่าง พวกมันถึงกับลงทุนไปร่วมมือกับพวกมนต์ดำปลุกปีศาจจากหลุมฝังศพ ขึ้นมาต่อสู้กับพวกเขา
“อย่าฝืนเทรส”มือแกร่งจับข้อมือขาวเอาไว้แน่น เนื่องจากเทรสพยายามจะร่ายมนต์คลุมเมืองอีกครั้ง
“หากข้าไม่ทำใครจะคุ้มกันเมือง”
“ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ข้าจัดการพวกมันไปแล้วตอนนี้เหลือแค่จับตาดูว่าพวกมันจะเข้ามาโจมตีอีกเมื่อไหร่ อีกอย่างพวกเราควรจะเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปที่ค่ายของข้าก่อน ที่นั่นมีทหารที่มีฝีมือมากมายนัก”
“หึ เจ้าจะบอกว่าทหารของข้าไร้ฝีมือหรือ”
“เจ้าเข้าใจผิดไปแล้ว”
“ทำไม ข้าเข้าใจเจ้าผิดตรงน่ะ....ไห....อื้อ”เสียงของคนตรงหน้าถูกปิดด้วยปากของฮาเกน มือเล็กพยายามจะผลักไส แต่คนตัวใหญ่กลับยิ่งบดเบียดร่างกายเข้าหา ลิ้นร้อนชอนไชไปทั่วไรฟันตักตวงเอาความอ่อนหวานออกมาแทบหมดสิ้น....พร้อมกับสติของเทรสเช่นกัน
“ข้าขอโทษ แต่ขออีกหน่อยเถอะ”ว่าจบก็ก้มขโมยความหวานของคนที่ตนทำสลบไปอีกครั้ง
ค่ายนอกเมือง
(อาร์มันโด ฮาเกน กันนา พาร์ท)
สองแขนแกร่งอุ้มคนตัวเล็กลงจากหลังมาสีทมิฬและมุ่งตรงเข้าสู่กระโจมใหญ่ที่ห่างออกมาจากกระโจมพวกทหารทั่วไปเค้าอุ้มคนตัวเล็กไปวางบนแท่นบรรทมจำเป็น
“ตัวเล็กอย่างนี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปสู้พวกมันได้ แต่ความพยายามปกป้องสิ่งที่ตัวเองรักนั้นข้าขอนับถือ”ริมฝีปากสีซีดกดจูบหน้าผากคนตัวเล็กก่อนจะนั่งลงข้างๆเสด็จพ่อของคนตรงหน้าได้ส่งสารขอความช่วยเหลือจากเมืองของเขา ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่เคยแพ้สงคราม แต่เมืองของเขาถ้าไม่มีสิ่งตอบแทนกลับมา เมืองของเขาแทบจะไม่ชายตาแล แต่ข้อเสนอของเมืองของคนตัวเล็กนั้น ดันถูกใจเจ้าเมืองของเขามากซึ่งข้อเสนอก็คือ หากสงครามชนะองค์ชายของเมืองจะถูกส่งให้แก่ทางเอรีสทันที พร้อมเครื่องบรรณาการด้านอาหารทุกปี แต่กษัตริย์ของเอรีสนั้นมีราชินีอยู่แล้ว องค์ชายคนเดียวของเมืองอย่างเทรสก็ต้องตกมาเป็นของข้า ซึ่งผู้มีศักดิ์เป็นน้องของกษัตริย์และแม่ทัพของเมือง
“เจ้าเป็นของข้านะเจ้าหนู”เชื้อสายที่บรรพบุรุษนั้นได้ถ่ายทอดมาเป็นรุ่นสู่รุ่น เป็นเชื้อสายที่แข็งแกร่ง เป็นทั้งนักรบที่ชนะทุกสงครามยามกลางวันและเป็นนักล่าที่แกร่งที่สุดยามกลางคืน นั่นก็คือแวมไพร์สายเลือดบริสุทธ์ และทุกอย่างที่เป็นของของแวมไพร์ ทุกตนย่อมทำสัญลักษณ์ เขาก็เช่นกันแต่เพียงแค่มันยังไม่ถึงเวลา.....
อ๊ะ ทำไมร่างกายข้ามันรู้สึกหนักๆนะ สองแขนเล็กคลำไปตามลำตัวก่อนจะเจอบางสิ่งบางอย่างที่มีแต่กล้ามเนื้อ คนตัวเล็กลืมตามอง พอเหลือบไปมองที่ลำตัวก็เห็นแขนเจ้ายักษ์ตัวหนึ่งพาดมาที่เอวตนเองราวกับว่าตนเป็นหมอนข้างให้ซะอย่างนั้น
“อย่าดิ้นสิเทรส”
“ท่านฮาเกนปล่อยข้า”
“ฮาร์ค”
“อะไร”
“เรียกข้าว่า ฮาร์ค พิเศษแค่เจ้าคนเดียว”แก้มใสแดงปลั่งกับคำพูดกำกวม แต่ก็ไม่ยอมให้คนตัวโตกว่าเอาเปรียบนัก
“ท่านฮาร์คปล่อยข้า”สองแขนเล็กพยายามดันจนเหนื่อย ในเมื่อสู้ไม่ได้คนตัวเล็กเลือกที่จะปล่อยให้คนตัวโตกอดอยู่อย่างนั้น อยากกอดนักกอดให้พอ
“เทรส”
“อะไร”
“เจ้าจะว่ายังไง ถ้าหากข้าชนะสงครามครั้งนี้เจ้าจะต้องตกเป็นของข้า”คิดไว้แล้วเชียวว่าทำไมเมืองเอรีสถึงเข้ามาช่วย ตนเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอกแค่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่เสด็จพ่อทำอะไรไม่ปรึกษา
“หึ ข้าจะว่าอะไรได้ข้ามีสิทธิ์แสดงความเห็นด้วยหรือ”
“เจ้ามีสิทธิ์เทรสเพียงแค่เจ้าพูดออกมา หากเจ้าบอกข้าว่าข้าห้ามแตะต้องเจ้าข้าก็จะทำเพียงแต่เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้าเพียงคนเดียว”ฮาร์คสบตากับข้าอย่างขอคำตอบ
“งั้นเจ้าห้ามแตะต้องข้า”นัยต์ตาดำขลับวูบไหวแต่ก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ได้”ฮาร์ครับคำก่อนจะปล่อยตัวข้าแล้วลุกขึ้นยืน เตรียมก้าวออกจากกระโจม
“ท่านจะไม่ฟังข้าพูดให้จบหรือ”ฮาร์คหันมามองข้าอย่างสงใส
“หึ ข้าแค่จะบอกว่าท่านห้ามแตะต้องข้าจนกว่าจะชนะสงคราม”ฮาร์คยิ้มออกมาพร้อมกล่าวด้วยมั่นใจ
“งั้นเจ้าล้างตัวรอข้าได้เลย”
ทุ่งฮาเดสต้า
ความมืดปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเสียงสายฟ้าฟาดต้นไม้แตกเป็นสองเสี่ยง ตรงข้ามกองทัพของเอรีสคือเมือง โวค ที่ใช้พวกศพมนุษย์มาเป็นเครื่องมือในการสู้รบ ถึงแม้แวมไพร์จะไม่ค่อยถูกกับไฟนักแต่ก็ต้องใช้ไฟในสงครามครั้งนี้
“นี่ฮาร์คพวกท่านจะไม่เป็นไรแน่หรือ”เสียงเทรสเอ่ยออกมาอย่างกังวล
“ไม่เป็นไรพวกข้าไม่ใช่แวมไพร์สายพันธ์กระจอก ต่อให้เดินลุยไฟมันก็ไม่ระคายผิวข้าหรอก แต่ที่พวกข้าไม่ค่อยถูกกับมันเพราะมันวูบไหวน่ารำคาญ”เมื่อรู้อย่างนั้นคนตัวเล็กก็พยักหน้า
“เทรส”
“หืม”
“อย่าห่างจากข้า”
“ข้าจะไม่ห่างจากเจ้าแน่ ถ้าเจ้าอยู่บนเตียงกับข้าน่ะนะ”รอยยิ้มทะเล้นเผยออกมาให้กวนใจเจ้าแวมไพร์หน้านิ่ง
“หึหึ งั้นมาเริ่มกันเถอะ”
“เอสซารี มอระตี่”แสงไฟสีแดงจากปลายไม้เวทย์พุ่งใส่กลุ่มคนตรงหน้า เหมือนกับการประกาศการปะทะอย่างเป็นทางการ ฮาร์คหันไปมองคนตัวเล็กที่ร่ายบาเรียออกมา พร้อมชุดเสริมกำลังเวทย์ เทรสร่ายเวทย์เพลิงโลกันต์ใส่พวกศพ ก่อนที่มันจะร้องโหยหวนตามมาทีหลัง ฮาร์คไม่น้อยหน้าพริบตาเดียวนัยต์ตาสีดำกลับกลายเป็นสีแดง เขี้ยวงอกออกมา เล็บที่แหลมคมโผล่พ้นจากนิ้วมือ ก่อนจะพุ่งกระโจนใส่พวกศพไม่ยั้ง
“ใครกันบอกข้าอย่าอยู่ห่างจากตัว”เทรสส่ายหน้าก่อนจะสนใจร่ายเวทย์ต่อ
กองทัพฝั่งเอรีสคอยต้อนพวกซากศพให้อยู่ตรงกลางจนในที่สุด ก็สามารถล้อมพวกมันไว้ได้ทั้งหมด นักเวทย์จากบาร์ธาซ่าร์ลอยตัวไปอยู่จุดกึ่งกลาง ก่อนจะร่ายเวทย์เพลิงโลกันต์ใส่กลุ่มซากศพ ทั่วทุกตัวของพวกมันกำลังมอดไหม้ แต่พอพวกซากศพตายกองกำลังของโวคซึ่งเป็นปีศาจชั้นต่ำก็บุกเข้าใส่เอรีสและบาร์ธาซ่า แต่แค่นี้ไม่คณามือของทั้งสองเมืองหรอก เหล่าแวมไพร์สูบเลือดจนพวกมันแตกสลายหายไปจนในที่สุด
“แฮก แฮก โอยเหนื่อย”เทรสบ่นน้อยๆก่อนจะแย้มยิ้มและตะโกนออกมา พวกทหารเมื่อเห็นนายตนประกาศชัยชนะ ก็พากันร้องเฮตาม
“ทหารแห่งเอรีสและบาร์ธาซ่าร์จงฟังข้า”เทรสใช้เวทย์กระจายเสียงจนทุกคนได้ยินทั้งหมด
“จงหาเพื่อนร่วมชาติของเจ้าหากใครยังมีชีวิตจงช่วยเท่ากำลังที่เจ้ามี จงอย่าร้องไห้ให้เหล่าวีรบุรุษที่สูญสิ้นไป จงสรรเสริญพวกเขาดั่งเทพพระเจ้า เพราะสิ่งที่พวกเขาเสียสละคือเลือดเนื้อของตนเองที่ไม่สามารถกอบกู้กลับมาได้อีก เพราะพวกเราคือครอบครัวใหญ่ที่พวกเขามี เข้าใจหรือไม่”ปากกล่าวว่าห้ามทหารร้องไห้แต่นัยต์ตาของเทรสนั้นกับคลอไปด้วยน้ำใส เหล่าทหารกล้าเมื่อได้ยินนั้นบางคนพยายามกลั้นน้ำตา บางคนปล่อยโฮให้กับคำพูดที่กินใจ เทรสมองภาพนั้นก่อนจะหันหลังกลับสู่ค่าย ฮาร์คมองภาพนั้นอย่างพอใจ นี่สิคือคนที่จะมายืนอยู่ข้างตน
ค่ายนอกเมือง
เทรสเดินเข้ากระโจมอาบน้ำเพื่อชำระร่างกาย แต่พอเข้าไปแล้วก็ร่ายมนต์บังตาไม่ให้ใครเข้ามาหรือมองเห็นได้ เมื่อถอดชุดเสร็จก็จัดการชำระล้างสิ่งสกปรกออก พลางนึกภาพในวันเก่าๆที่ตนไม่ชอบหน้าของฮาร์คก็อดหัวเราะไม่ได้ เมื่อไหร่กันนะที่ตนเริ่มมองหน้าคนหน้านิ่ง
“เทรสเจ้าอาบน้ำนานเกินไปแล้ว”เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหูเอาเทรสสะดุ้งหันไปมองหาต้นเสียง แต่ก็ไม่พบแม้เงาจนนึกได้ว่าฮาร์คคงใช้เวทย์กระแสจิต
“ท่านจะอาบต่อข้าหรือ”
“ใช่”เมื่อได้รับคำตอบ เทรสจึงราดน้ำเป็นครั้งสุดท้ายเช็ดกายให้แห้งแล้วเดินออกมา แต่พอออกมาปุ๊ป ร่างกายตนนั้นกลับถูกคลุมด้วยผ้าผืนใหญ่เทรสหันไปมองคนให้พลางส่งสายตาสงสัย
“ห้ามถอดออกจนกว่าเจ้าจะเดินเข้ากระโจม”ฮาร์คส่งสายตากดดัน เทรสพยักหน้าอย่างงงๆแล้วเดินเข้ากระโจมไป เมื่อแต่งตัวเสร็จตนเองก็นั่งรอฮาร์คกลับมา รอไม่นานนักฮาร์คก็เดินกลับมา มีเพียงผ้าพันช่วงเอวเอาไว้เท่านั้น
“ทำไมเจ้าไม่เช็ดผม”เทรสมองหน้า
“ข้าเช็ดไม่เป็นปกติมิเกล....อื้อ”ฮาร์คประกบจูบลงมาซะเฉยๆเหมือนว่าไม่อยากให้พูดชื่อมิเกล
“อย่าพูดชื่อหมอนั่นให้ข้าได้ยินอีก”นัยต์ตาดำขลับ ส่งสายตาดุ
“ทำไมหรือเจ้าหวงข้าหรือ”เทรสยืนหน้าเข้าไปใกล้คนตัวโต
“ใช่ข้าหวง ต่อไปนี้เจ้าห้ามไปพบกับเจ้านั่นอีกเพราะมันคงเป็นสนมของเพื่อนข้าไปแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าไง”
“ข้าส่งเจ้านั่นให้ไบรอันไปแล้ว”
“เจ้ากล้าดียังไง อย่างน้อยมิเกลก็เป็นเพื่อนข้า เจ้านั่นเป็นคนดี”ฮาร์คสบตากับเทรสก่อนจะเอ่ยออกมา
“ที่ข้างๆเจ้าต้องเป็นข้าส่วนคนที่จะยืนข้างข้าต้องเป็นเจ้า เหตุผลแค่นี้พอหรือไม่เทรส”
“จะ จะ เจ้า”แก้มใสแดงระเรื่อก่อนจะเชิดหน้าขึ้นสู้
“แต่ยังไงนั่นก็คือของข้า เจ้าควรถามข้าก่อน”
“หึ เอาน่ายังไงไบรอันมันก็ดูแลเจ้านั่นอย่างดี แต่ตอนนี้ข้ามาทวงสัญญาเจ้าพร้อมจะให้สัญญานั้นกับข้าหรือยัง”เทรสยิ้มมุมปาก เอาแขนคล้องคอฮาร์คแล้วกดให้คนตัวโตนั่งลงบนเตียงแทน สองขาแยกออกแล้วนั่งคร่อมบุรุษตรงหน้า
“ข้าเป็นคนรักษาสัญญาเอ่ยคำไหนเป็นคำนั้น”ฮาร์คยิ้มอย่างพึงใจ สงมือแกร่งเลื่อนไปโอบสะโพสคนช่างยั่ว ก่อนจะกดสะโพสคนตรงหน้าให้สัมผัสกับแวมไพร์ตัวน้อยใต้ผ้าขนหนู......สงสัยราตรีนี้อีกยาวไกล
เมืองบาร์ธาซ่า
หลังจากชนะศึกสงครามเป็นที่เรียบร้อย ฮาร์คก็พากองทัพทหารกลับบ้านเมืองส่วนตนเองต้องกลับไปเอรีสก่อน แล้วก็กลับมาบาร์ธาซ่าอีกที เพื่อมาสู่ขอเทรสอย่างเป็นทางการ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีกษัตริย์บาร์ธาซ่าร์ยกตำแหน่งกษัตริย์คนต่อไปให้แก่ฮาร์คนอกเหนือข้อตกลงไปมากแต่การยกให้ครั้งนี้เต็มไปด้วยความพึงใจทั้งสองฝ่าย
“เทรสเจ้าทำอะไรอยู่”ฮาร์คเข้ามาคลอเคลียด้านหลังของเทรส
“แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะไม่มีอะไรหรอก....เออว่าแต่เจ้าจะ.....”
“ท่านพี่ฮาร์คคคคคคคคคคค”เสียงใสของเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเทรสดังขึ้น เสียงมาไม่พอตัวของเด็กคนนั้นยังกระโดดกอดฮาร์คอย่างไม่กลัวเกรง
“แคป”เสียงฮาร์คเรียก
“แคปคิดถึงท่านที่สุด ฟอด”เทรสถึงกับตัวแข็งเมื่อใครไม่รู้มาหอมคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ตอนนี้มือเล็กกำแน่น
“แคปปล่อยก่อน”ฮาร์คดันแคปออกแล้วหันไปมองเทรสที่ทำสายตาน่ากลัวอยู่ข้างๆ
“เทรสนี่แคปเปอร์เป็นเอ่อญาติของข้า”แคปมองหน้าเทรสอย่างไม่ค่อยพอใจ
“แคปนี่พี่สะใภ้เจ้าเทรย์เวอร์หรือเทรส”เทรสมองหน้าแคปแบบไม่พอใจมากเพราะเจ้าเด็กนั่นกอดแขนฮาร์คซะแน่น แถมยังทำท่าทางออดอ้อนซะจนน่าจับไปเชือด
“นี่เหรอฮะท่านเทรสแห่งบาร์ธาซ่าร์ ผู้ชายอะไรไว้ผมยาว มิน่าล่ะ”
“ข้าทำไม”เทรสเริ่มขึ้นเสียง เจ้าเด็กนั่นแสร้งกลัวแล้วไปหลบหลังฮาร์ค
“พอได้แล้วแคปไปรอข้าที่สวนก่อนแล้วข้าจะตามไป”แคปจำเป็นต้องพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไปเพราะฮาร์คเริ่มทำสายตาดุเมื่อลับหลังเด็กนั่นฮาร์คก็หันมาหาเทรสทันที
“ทำไมเด็กนั่นถึงเรียกท่านว่าฮาร์ค”คนตัวโตเป็นคนบอกเองว่า มีเพียงพ่อแม่และพี่ชายตนเท่านั้นที่เรียกฮาร์คถ้าไม่นับตนเอง
“แคปเป็นคนดื้อ แถมยังสนิทกับครอบครัวข้ามากจึงเรียกตามคนในครอบครัว เจ้าอย่าคิดมากเลยเทรสเชื่อใจข้า”ฮาร์คมองด้วยสายตาออดอ้อน
“ก็ได้ข้าจะเชื่อเจ้า”
พลบค่ำ
ค่ำคืนนี้มีงานเลี้ยงฉลองเล็กๆน้อยๆเพื่อต้อนรับครอบครัวของฮาร์ค ทุกคนล้วนสนุกสนานเฮฮาเว้นเสียแต่ตัวของเทรสที่รำคาญกับเสียงเจ้าแคปเหลือเกิน
“พี่ฮาร์คทานนี่สิข้าทานแล้วอร่อยมาก”
“เจ้าทานเถอะ”ฮาร์คอยากจะออกไปหาเทรสหลายรอบแล้วแต่ก็ทำไม่ได้ พอจะออกไปหาอีกทั้งเสด็จพ่อของเทรสและของตนเองก็ดันเรียกไปพบอีก อยากเข้าไปกอดหอมใจจะขาดแต่ก็ทำได้แค่คิด
ระเบียง
เทรสหลบออกมาสูดอากาศที่ระเบียงคืนนี้ดาวสวยยิ่งนักน่าออกไปเที่ยวยิ่งนัก แต่ไม่ทันได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอดนักเจ้าเด็กน่ารำคาญก็เข้ามาหา
“ท่านพี่เทรส”
“อะไร”
“ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง”เด็กนั่นมองหน้าตนเขม็ง
“เรื่องอะไร”
“ข้าจะขอเป็นสนมพี่ฮาร์คได้หรือไม่ นี่ท่านไม่รู้หรือว่าข้ากับพี่ฮาร์คตอนที่อยู่เอรีสเราสองคนมีความสัมพันธ์กันเช่นไร”แคปแสยะยิ้มอย่างเหนือกว่า
“อดีตก็คือของเก่าข้าคิดว่าฮาร์คคงไม่หันหลังกลับไปกินของที่ตนเองทิ้งแล้วหรอกนะ”
“แต่อย่างน้อยของชิ้นนี้ก็เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของพี่ฮาร์คล่ะกัน”แคปแอบยิ้มในใจที่เดาถูกทางว่าฮาร์คไม่มีทางบอกรักออกไปแน่ๆ
“งั้นเหรอฮาร์คบอกรักเจ้าสินะ”นัยต์ตาสีเหลืองนวลอ่อนลงก่อนจะหันหลังเดินจากไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของอีกคน แคปยิ้มดีใจที่สามารถทำให้เทรสหงอยได้ หึ
“กระดูกมันคนละเบอร์กันนะเทรส”พร้อมเดินหันหลังกลับออกไปอย่างใจเย็น
“เหรอกระดูกมันคนล่ะเบอร์จริงๆล่ะนะเด็กน้อย”คุ้นๆเนอะคุณว่าไหม
“โวราเร่(บิน)”งั้นขอไปหาที่พักผ่อนหย่อนใจสักหน่อยก็แล้วกัน
ตึก ตึก ตึก ปัง
อยู่ไหนกันแน่ เทรสเจ้าอยู่ไหน หลังจากกลับจากเสวนากับเสด็จพ่อเสร็จตนก็รีบกลับห้องทันที กะว่าจะกลับมากอดร่างอุ่นแต่พอเปิดเข้าไปก็พบกับความเงียบ เลยนั่งรออยู่ในห้องแต่ระยะเวลามันนานเกินไป เวลานี้แล้วเทรสน่าจะเข้ามานอนได้แล้ว ตอนนี้ทั่วทั้งปราสาท วิ่งให้วุ่นฮาร์คสั่งให้ทหารแวมไพร์ออกตามหาห้ามพลาดแม้แต่จุดเดียว แต่นี่ก็จะเช้าแล้วก็ไม่มีวี่แววว่าเทรสจะกลับมาเลย
“ท่านพ่อเทรสกลับมาหรือยังขอรับ”
“ยังเลยข้าก็ให้ทหารไปหาในที่เจ้าตัวชอบไปแล้วนะแต่ก็ไม่มีใครเห็นสักคน เฮ้อ เจ้าตัวดีไม่รู้ไปทางไหนกันแน่”
“จะออกตามหาทำไมล่ะครับ ก็เขาออกไปเองเดี๋ยวก็กลับมาเองนั่นแหละ”ฮาร์คหันไปหาแคปทันที
“เจ้าว่าเทรสออกไปเองหมายความว่าไง เจ้าเห็นเทรสเป็นคนสุดท้ายใช่หรือไม่”
“ข้าไม่เห็นสักหน่อย”แคปรีบหลบตาทันที
“หากเจ้าไม่ยอมบอกว่าเรื่องเป็นมายังไงข้าคงต้องใช้ยาทรมาณเจ้าให้พูดออกมาสินะ”
“ไม่เอานะ ข้าก็ไม่รู้ว่าเทรสไปไหนเหมือนกัน จู่ๆก็รีบออกไปข้ายังพูดไม่ทันจบเลย”
“เจ้าพูดอะไร”
“ระ เรื่องทั่วไปน่ะ”
“บอกมาเดี๋ยวนี้”น้ำเสียงกดต่ำพร้อมกับนัยต์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงทำให้แคปต้องรีบพูดออกไป ฮาร์คเผลอตบหน้าแคปหนึ่งทีแล้วรีบออกตามหาทันที
อีกด้าน
หาววววว อ้าวนี่ข้าเผลอหลับเหรอเนี่ย หันไปมองรอบตัวก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองมาเที่ยวในป่า หากมนุษย์ธรรมดาก็คงตายไปแล้วแต่นี่คือเทรสนักเวทย์ แน่นอนว่าพวกเถาวัลย์และภูติไม้ย่อมเปิดทางให้ ส่วนที่ตนนอนนั้นคือบ้านใต้ดินที่เทรสขอให้ต้นไม้ใหญ่ทำให้ดินเกิดเป็นโพรงแล้ใช้เวทย์เล็กๆน้อยๆทำให้มันกลายเป็นบ้าน หากมีใครเข้ามาก็คงหาตนไม่เจอหรอก
“อ้าวเทรสตื่นแล้วเหรอ”
“ใช่”
“เมื่อกี้มีคนมาตามหาท่านด้วย ตามหากันให้วุ่นเลยข้าเลยบอกไปว่าไม่เห็นเจ้าน่ะ”เทรสยิ้ม
“ดีแล้วล่ะ เออเดี๋ยวข้าจะกลับวังแล้วนะไว้ค่อยเจอกันใหม่”
“เช่นกัน”
ขายังไม่ทันก้าวเข้าประตูวังทหารทั้งหลายก็รีบวิ่งเข้ามาหา ก่อนจะรีบจับแขนพาเทรสเข้าไปข้างในพอเห็นสิ่งวุ่นวายตรงหน้าแล้วเทรสต้องเอามือกุมปากด้วยความตกใจก่อนจะวิ่งเข้าไป
“เทรสอย่าเข้าไป”ตนหันไปมองเพื่อนของฮาร์คที่ชื่อไบรอัน
“นี่มันอะไรกัน มันเกิดอะไรขึ้น”มือของเทรสสั่นมองไปที่ฮาร์คที่มีโซ่ล่ามคอไว้แถม มือเท้าก็ถูกพันธนาการเช่นเดียวกัน ใบหน้าฮาร์คนั้นซีดเซียวนัยต์ตาแดงก่ำ เหมือนคนไม่ได้สติ
“ฮาร์คมันคลั่งน่ะ เฮ้อ มันจ้องจะฆ่าแคป”
“ทำไมล่ะ”
“แคปบอกออกมาหมดแล้วว่าพูดอะไรกับเจ้าไว้ ฮาร์คพอมันรู้มันแค่ตบสั่งสอนแต่ปรากฏว่าตามหาเจ้ายังไงก็ไม่พบมันร้อนใจมาก ใช้พลังบินหาเจ้าทั้งคืน พอเจอหน้าแคปความโกรธจึงปะทุขึ้นแล้วหมอนี่ก็ไม่ได้ดื่มเลือดเลยทั้งคืนจนกลายเป็นแวมไพร์คลั่งอย่างนี้ไง”ข้าค่อยๆเดินเข้าไปหาฮาร์คแต่ก็โดนฉุดด้วยมือไบรอัน
“ปล่อย”
“มันอันตรายนะ ถ้าฮาร์คมันได้สติแล้วรู้ว่าทำร้ายเจ้ามันจะยิ่งโทษตัวเอง”
“ช่างเถอะปล่อยข้าได้แล้ว”ข้าตะโกนออกไปไบรอันจึงจำเป็นต้องปล่อยมือ ฮาร์คจะทำร้ายข้าได้ยังไงในเมื่อ คนตัวโตยังถูกตรึงกับเหล็กแบบนั้น
“แฮ่ แฮ่ แฮร่รรรรรรรรรร”
“นี่พอแล้วนะฮาร์คเจ้าเหนื่อยแล้วพักเถอะ”คงหิวมากสินะตามหาข้าจนไม่ได้ดื่มเลือดเลยสินะ ข้าโอบกอดร่างคนตรงหน้าไว้ เงยหน้าขึ้นปล่อยให้อีกคนซุกลงมาที่คอแล้วฝังคมเขี้ยวลงไป นานเพียงใดไม่รู้รู้เพียงอย่างเดียวว่าคนตัวโตหลุดจากพันธนาการแล้วเพราะมือสองข้างที่แข็งแกร่งนั้นโอบรอบแผ่นหลังเอาไว้ ฮาร์คเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนที่โดนตนดื่มเลือดเข้าไปใบหน้าไร้สีเลือด ลมหายใจที่หยุดไปนั้นทำให้ฮาร์คลุ้นแทบขาดใจ
“เด็กบ้าตื่นได้แล้ว”น้ำใสหนึ่งหยดล่วงลงบนใบหน้าบาง
“ฮาร์ค”ฮาร์คไม่ได้ตอบไบรอันยังเอาแต่จ้องไปที่ใบหน้าเล็กอย่างรอคอย ทุกคนตรงนี้ที่เป็นแวมไพร์ก็ต่างพากันลุ้น
“ตื่นเถอะเจ้าเด็กขี้เซาเจ้านอนนานเกินไปแล้ว เกินไปแล้วจริงๆตื่นมาฟังข้าพูดเดี๋ยวนี้”ไม่กี่อึดใจต่อมา สัญญารักษ์แห่งเอรีสปรากฏที่คอของร่างบางพร้อมลมหายใจที่เยือกเย็น เปลือกตาบางลืมขึ้นทำให้เห็นว่านัยต์ตาสีเหลืองนวลแปรเปลี่ยนไปเป็นสีแดงก่ำเรียบร้อย
“เจ้าจะบ่นข้าหรือฮาร์ค ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าจะเบื่อ”
“หึ ข้าจะบ่นเจ้าจนชั่วชีวิตของข้า และไม่คิดด้วยว่าเจ้าจะเบื่อ”ริมฝีปากสีซีดกดจูบลงบนปากบางที่เย็นเฉียบเหมือนของตน
“หึหึ ขอให้จริง”
“เฮ เฮ เฮ”เสียงไชโย และเสียงถอนหายใจดังผสมปนเป
“เดอเลเน่ เทรย์เวอร์ สเวน ข้า อามันโด ฮาเกน กันนาร์ อยากบอกว่าข้ารักเจ้ามากที่สุดในชีวิตของข้า ที่ข้าไม่เคยเอ่ยมันออกมานั้นเพราะข้าคิดว่าข้าปฏิบัติให้เจ้าได้เห็นแล้วว่าข้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้หากไม่มีเจ้า ข้าอยากจะขอร้องเจ้าว่าอย่าทิ้งข้าไปไหนอีกเลยชายผู้นี้รักเจ้าจนไม่สามารถรักใครอื่นได้อีก ได้โปรด”
“ข้าก็รักเจ้าฮาร์คของข้า”ตราบนิจชั่วนิรันด์ เจ้าจะไม่มีวันหลุดพ้นความรักของข้าไปได้ เหตุผลน่ะเหรอมีแค่อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือความรักมันเหนือธรรมชาติไงล่ะ
completo
เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นที่เคยส่งประกวดแล้วไม่ผ่านค่ะ ก็จะรับคำติมาพัฒนาต่อไปนะคะ
เอามาแก้ขัดT Tไม่ได้อัพนิยายเลย ขอโทษด้วยนะ ไรท์เรียนหนักมากจริงๆ
อ่านไปพลางๆก่อนนะ